Friday 21 December 2007

Greedy for money


This toilet is in Pattaya Tourism Authority of Thailand compound.You need to pay 5 baht for taking a leak. It's too costly. I don't understand why the government office is greedy to get money from people's sufferings. Idiot!

ส้วมหลังนี้อยู่ในเขตบริเวณการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย พัทยา ค่าเข้าปลดทุกข์ 5 บาท ผมไปต่างมาประเทศมาหลายประเทศ ไม่เคยเห็นเขาเก็บตังค์ค่าเข้าส้วม ลองไปดูประเทศที่เจริญแล้วอย่างไต้หวัน ออสเตรเลีย เข้าไม่ต้องเสียตังค์ค่าเข้าส้วมสาธารณะ คนของบ้านเราไปดูงานต่างประเทศกันโครมๆ เอาที่ดีๆ จากเขาเหล่านั้นมาใช้บ้างสิ เห็นแล้วสังเวชจริงๆ ที่ทำการของรัฐแท้ๆ ยังทำได้ Stupid!

หากจะชมเชยสถานที่ที่มีส้วมสะอาด(มากๆ)ไม่เสียตังค์ค่าปลดทุกข์ ก็ขอชมเชยสถานที่บางแห่งที่ไม่ได้ตะกละตะกรามหาเงินจากความทุกข์ของชาวบ้านชาวช่อง เช่น วัดท่าการ้อง จังหวัดอยุธยา นับว่าเป็นส้วมสะอาดที่สุดแห่งหนึ่งเท่าที่เคยเห็นมา และอีกหลายแห่งที่มีส้วมดีๆ สะอาดๆ และไม่เสียเงิน(ทั้งๆ ที่เราเต็มใจอยากบริจาค)ในประเทศไทยที่ยังไม่ได้เอ่ยชื่อ

A Lazy Pattaya Tourism Office


I recently went to Pattaya for pleasure. I needed a brief travel guide to have a city quick look. The place could help me at the time was Tourism Authority of Thailand (Pattaya),I supposed. However, I was disappointed becuase there was no one there when I got the office. It was 8.50 am. I checked the workhour on the front door. It says " Open 08:30 " The first one arrived the office at 08:55 am. I left the office with no Pattaya information.

The government has been trying to promote tourism for long ,but the Tourism employees are not effective ones. It's hopeless,isn't it? The head of Pattaya office might be the same. He/She never ever looks after this 'tiny but important case'.

Thursday 13 December 2007

รักษาตา ศูนย์ตาธรรมศาสตร์


เมื่อก่อนไม่ได้คิดว่าจะมาใช้บริการรักษาตาของโรงพยาบาลธรรมศาสตร์เพราะไม่ทราบมาก่อนว่ามีศูนย์ตา จนกระทั่งเพื่อน(ข้าราชการชรา)ของผมคนหนึ่งมารักษากระดูกหลังของพี่แกในวันหนึ่งของปีที่แล้ว แกบรรยายสรรพคุณของโรงพยาบาลแห่งนี้ให้ฟัง ดูน่าสนใจ

และพอได้เข้ารักษาตาก็พบว่าโรงพยาบาลที่นี่บริการดีเยี่ยม ดีกว่าโรงพยาบาลเอกชนหลายๆแห่งเสียด้วยซ้ำ

เราเลยกลายเป็นคนไข้ประจำ เข้าออกโรงพยาบาล(ด้วยการผ่าตัดตา เอาต้อเนื้อออก)อยู่หลายครั้ง หมอตา(ไม่รู้จะเรียกจักษุแพทย์ให้ยากทำไม)ที่เป็นเจ้าของไข้ของผมได้แก่ พ.ญ.ปิยะดา พูลสวัสดิ์ เป็นหมอรุ่นใหม่ที่ใจดีมาก ๆ มีอัธยาศัยดีกับคนไข้ทุกคน ลบภาพเก่าๆ ของหมอโรงพยาบาลของรัฐที่เพียงแค่ทำงานไปวันๆ แจกยาเม็ดเป็นพื้นฐาน และพูดจากับคนไข้ด้วยวาจาหยาบกระด้างเหมือนในอดีตเมื่อยี่สิบปีก่อน ไม่เหลือเค้าเลย (อาจจะเป็นเพราะสมัยก่อนพ่อแม่หมอเหล่านั้นเลี้ยงไม่ดี ทำให้ลูกๆ สุขภาพจิตไม่ดีก็เป็นได้ เลยมาระบายกับคนไข้)

ผมเคยมีประสบการณ์ร้ายๆ จากหมอดังกล่าวมาแล้ว

มีความประทับใจกับการบริการ ระบบฐานข้อมูล ระบบการจัดการของโรงพยาบาลมาก ก็เลยขอประชาสัมพันธ์ให้โรงพยาบาล(แม้โรงพยาบาลจะไม่อยากประชาสัมพันธ์ก็ตาม)เสียเลย ที่นำมาให้ดูเป็นข้อความในเว็บไซต์ของโรงพยาบาลน่ะครับ

หากท่านมีปัญาหากับดวงตาของท่าน(ยกเว้นตาหาเรื่องหรือตากวนโอ้ย)ก็ลองมาที่นี่สิครับ ไม่ผิดหวัง ส่วนท่านที่มาแล้วและผิดหวังกลับไปแล้วก็ลองเมล์มาคุยกันครับ จะโพสต์ขึ้นให้ครับ

"บริการตรวจรักษาโรคทางตาโดยจักษุแพทย์เฉพาะทางครบทุกสาขา พร้อมเครื่องมือเครื่องผ่าตัดที่ทันสมัย ได้แก่ เครื่อง สลายต้อกระจกโดยอัลตราซาวด์ (Phacoemulisification) เครื่องเลเซอร์เบาหวาน เลเซอร์ต้อหิน เครื่องวัดสานสายตา Humphrey เครื่องวัดผิวกระจกตา เครื่องตรวจเส้นประสาทตา และจอประสาทตาส่วนหลังโดยไม่ต้องขยายม่านตา

ตา บริการคลินิกพิเศษเฉพาะโรคในระดับสากลที่ให้การดูแลอย่างครบวงจร ได้แก่ ศูนย์ต้อหิน ศูนย์โรคตาเด็ก ศูนย์เบาหวานจอประสาทตา ศูนย์รักษา สายตาสั้นด้วยเครื่องเลเซอร์เลสิก (Lasik) เป็นต้น "


ศูนย์ตาธรรมศาสตร์ โทร . 0-2926-9936-8

ภาพจาก รายนามแพทย์ประจำบ้าน

Tuesday 11 December 2007

โรงพยาบาลธรรมศาสตร์ มาตรฐานสากล (3)


เมื่อถึงวันกำหนดนัดตัดไหมในสัปดาห์ต่อมา เราไปโรงพยาบาล(ธรรมศาสตร์)ตามนัดตั้งแต่เช้า ไปถึงก่อนเจ็ดโมงเช้า คนไข้ยังไม่มากนัก (แค่ก็นั่งรอหมอกันเต็มคลีนิก) ผมนำใบนัดไปใส่ในกล่องกระดาษรูปบ้านที่พยาบาลเตรียมไว้ จากนั้นพยาบาลแจ้งว่าให้เราไปทานข้าวก่อน หมอจะลงมาตรวจประมาณ เก้าโมงเช้า

อย่างไรก็ตาม คนไข้แผนกตาต้องตรวจวัดสายตา ตรวจความดันตาเบื้องต้นก่อนที่จะเข้าไปหาหมอ เราทานข้าวเสร็จก็รีบมาตรวจวัดสายตาพอดี

หลังจากพบหมอซึ่งเป็นหมอคนเดิน คือ พ.ญ.ปิยะดา พูลสวัสดิ์ แล้ว เราได้รับแจ้งว่า ตาของเรายังอักเสบ และนัดให้เรามาตัดไหมที่เย็บ “เยื่อหุ้มรก”(amniotic membrane)ไว้ สัปดาห์หน้า พร้อมกับสั่งยาหยอดตามาให้เราด้วย

เรานำแฟ้มคนไข้ไปคืน ตะกร้าหมายเลข 2 แล้วรอรับใบนัดครั้งต่อไป จากนั้นเราเดินออกไปห้องจ่ายยาเพื่อรอรับรอและนำใบเอกสารการจ่ายตรงกับกรมบัญชีกลางไปให้ฝ่ายการเงิน รอสักพัก ไม่นานนักเราก็ได้ยากลับบ้าน คงต้องไปอีกรอบ อาทิตย์หน้า

สังเกตได้ว่าผู้ที่มารับบริการแผนกตานี้เป็นคนสูงอายุเสียส่วนใหญ่ จะมีบ้างหนุ่มๆ สาวๆ ก็เป็นพวกที่ได้รับอุบัติเหตุมา

ภาพจาก ร.พ.ธรรมศาสตร์

Monday 10 December 2007

ขอไว้อาลัย แด่ "คุณวนิดา"



In Memory of Wanida Tantiwittayapitak, an activist fighting for justice and a prominent leader of people's movements.

เรารู้สึกอึดอัดกับสถานีโทรทัศน์หลายช่องที่เสนอข่าวดารานักร้องกันครึกโครม มากกว่าเสนอข่าวเชิดชูคนดี ดังจะเห็นได้จากการแห่กันไปทำสกู้ปข่าวนักร้องชื่อดังเสียชีวิตกันทุกช่อง แต่คนดีๆ ที่ทำงานเพื่อสังคมกลับถูกละเลย ดังเช่น"คุณมด" หรือ คุณ วนิดา ตันติวิทยาพิทักษ์ เอ็นจีโอ นักต่อสู้เคลื่อนไหวเพื่อสังคมและชาวบ้านที่ถูกเอารัดเอาเปรียบจากโครงการพัฒนาของรัฐและเอกชนมากว่า 30 ปีเสียชีวิตที่ รพ.รามาธิบดี เมื่อเวลา 14.30 น.วันที่ 6 ธ.ค.ด้วยโรคมะเร็งเต้านม แต่ไม่มีใครทำสกู้ปเชิดชูการต่อสู้เพื่อสังคมทำงานของเธอเลย บางช่องรายงานข่าวของเธอเพียงสั้นๆ อย่างเสียไม่ได้เพียงเพื่อไม่ให้ตกข่าวเท่านั้น

แล้วจะให้ทำใจเชื่อได้อย่างไรว่าสื่อโทรทัศน์ในบ้านเรามีคุณภาพ

ภาพจาก สำนักข่าวประชาธรรม

Monday 26 November 2007

Be careful ! Stealing in Central Pin Klao’s Fuji restaurant



Recently, my daughter went to Central Pin Klao’s Fuji restaurant to have a meal. After she finished her dinning and paid for the dinner, she left the restaurant for shopping. She later realized that she left her purse at/on the restaurant table. She suddenly came back to get it. Unfortunately, one of the waitress said that there was no any purses on the table. She was a bit upset because the purse was a gift her close friend gave her. She’s quite sure that the purse was stolen by one of the waitresses in the restaurant. No one cleaned the table up at the time, but the waitress. It’s impossible that one of the customers picked it up. It’s silly that the waitress gave her the answer she didn’t see the purse.

I didn’t believe that Fuji restaurant doesn’t know about this case, except the manager is stupid.

วันหนึ่ง ลูกสาวผมเข้าไปนั่งทานอาหารในร้านฟูจิที่ เซ็นทรัลปิ้นเกล้า หลังจากทานอาหารเสร็จ เธอจ่ายเงินแล้วเดินออกมาไม่นานก็รู้ตัวว่าลืมกระเป๋าเงินไว้ที่โต้ะอาหาร เมื่อย้อนกลับไปดู พนักงานในร้านบอกหน้าตาเฉยว่า “ไม่เห็น” ซึ่งลูกสาวมั่นใจว่าเป็นไปไมได้เพราะพนักงานต้องเป็นบุคคลรายแรกๆที่เข้าไปเก็บโต้ะเพื่อทำความสะอาด

สิ่งทีอยากนำมาเป็นอุทาหรก็คือ แม้แต่ร้านใหญ่ๆ ก็ไม่อาจไว้ใจได้แล้ว ผมไม่อยากเชื่อว่าผู้จัดการของร้านไม่รู้เรื่องนี้ เว้นเสียแต่ว่าผู้จัดการร้านนี้จะเป็นพวก Deaf & Dumb!
หากจะเข้าร้านนี้ก็ระวังกันไว้บ้างก็ดี ทางที่ดี หลีกเลี่ยงการเข้าร้านที่เลี้ยงขโมยไว้อย่างร้านฟูจิแห่งนี้


Logo from Fuji

Wednesday 21 November 2007

อัมพวา (4)


เย็นวันศุกร์ เสาร์ และอาทิตย์ จะมีนักท่องเที่ยวจากต่างถิ่นมาเที่ยวตลาดน้ำอัมพวาและจอดรถไว้ในบริเวณวัดอัมพวัน ขยะเหล่านี้เป็นร่องรอยของความอัปยศซึ่งเกิดจากความมักง่ายของนักท่องเที่ยวไทย ทั้งๆ ที่เป็นเขตวัดแต่พวกเขาก็ทิ้งกันแบบไม่อาย อีกไม่นานอัมพวาก็คงเหมือนสถานที่ท่องเที่ยวอื่นๆ ในประเทศไทยที่ถูกย่ำยีจนแหลกราญโดยนักท่องเที่ยวที่ไร้จิตสำนึกซึ่งก็ไม่แตกต่างกับนักการเมืองไทยนั่นแหละ

อัมพวา(3)


ตรงที่ผมนั่งอยู่นี้ เมื่อสามสิบปีก่อนเคยเป็นกุฏิหลังเล็กๆ เป็นหอฉันท์ของหลวงพ่อด้วย ตอนกลางวันหลวงเจริญท่านจะมานั่งคุยกับญาติโยมที่นี่ ตอนเย็นท่านเข้าไปจำวัดในพระที่นั่งฯ ตรงนี้จึงกลายเป็นที่พัก ที่นอนของเด็กวัด บัดนี้กุฏิหลังนั้นถูกรื้อออกไปแล้ว กลายเป็นที่ว่างๆ ส่วนต้นจันท์ด้านหลังเป็นต้นเดิม

ตลาดน้ำอัมพวา(2)


พระที่นั่งทรงธรรมซึ่งสมัยที่ผมเป็นเด็กวัดที่วัดอัมพวันแห่งนี้หลวงพ่อเจริญ (พระครูเจติยาภิบาล)เจ้าอาวาสเคยจำพรรษาอยู่ในพระที่นั่งนี้ พวกเราเด็กวัดเรียกตรงนี้ว่า “กุฏิล่าง” ส่วนกุฏิบน(หลังโรงเรียวัดอัมพวัน)นั้นพระครู เฮง(รองเจ้าอาวาส) ดูแล ผมกับเพื่อนพักอยู่กุฏิตรงข้ามพระที่นั่ง

ตลาดน้ำอัมพวา(1)


เมื่ออาทิตย์ก่อน เรากลับบ้านไปทำธุระที่อัมพวา สมุทรสงคราม ได้เห็นความเปลี่ยนแปลงหลายอย่างในละแวกบ้านเรา โฮมสเตย์ผุดขึ้นมากมาย ธุรกิจการท่องเที่ยวเข้ามาในรูปแบบต่างๆ กัน พวกเขาทำธุรกิจอย่างกันอย่างตะกรุมตะกราม ส่วนที่บ้านเราโชคดี ลูกสาวบอกเราหลายครั้งไม่ให้เราทำโฮมสเตย์เพราะกลัวความเป็นส่วนตัวจะหายไปและความอึกทึกเข้ามาแทนที่ นัยว่าเจ้แกอยากอยู่แบบสงบๆ

ขากลับเราลองแวะตลาดน้ำยามเย็นที่ตลาดอัมพวา ทั้งๆ ที่เราไม่เคยเฉียดกรายเข้าไปในตลาดเลยตั้งแต่มีตลาดน้ำตอนเย็นเพราะเราไม่ชอบคนเยอะ ประกอบกับไม่มีความจำเป็นต้องไปตลาดแถวนั้น เพราะไม่ใช่ที่ที่คนสวนแบบเราจะเข้าไปเดินเบียดคนเยอะๆ

สองปีหลังนี้ อัมพวาเปลี่ยนไปมาก นัยว่าเกิดจากการโปรโมทของหลายๆ ฝ่ายเพื่อให้เกิดการท่องเที่ยว อย่างแรก วิถีชีวิตของคนท้องถิ่นเปลี่ยนแปลงไป คนต่างถิ่นเข้าไปค้าขายที่ตลาดน้ำ ซื้อที่ดินริมน้ำ ริมคลองทำธุรกิจโฮมสเตย์ ซึ่งก็ไม่แปลกอะไรที่คนท้องถิ่นจะไม่ได้อะไรมากนักกับการท่องเที่ยว ผมเห็นแล้วเศร้า นักท่องเที่ยวที่หลั่งไหลเข้ามาขาดจิตสำนึก ไม่เข้าใจวิถีชีวิตของผู้คนท้องถิ่น มักง่าย ทิ้งขยะส่งเดช พ่อค้า แม่ค้า คนขายของแหกปากตะโกนร้องเรียกให้ซื้อของตนเหมือนตลาดนัดจตุจักร ดูเหมือนตลาดนัดขายสินค้าทั่วไปมากว่าจะเป็นตลาดน้ำวิถีชีวิตของคนอัมพวา

ตอนที่เราเป็นเด็ก ช่วยแม่พายหัวเรือจากคลองบางลี่เล็กไปขายของที่ตลาดน้ำหน้าวัดอัมพวันเมื่อสามสิบปี แตกต่างจากวันนี้มาก เป็นชีวิตเรียบง่าย เราซื้อของมาขายตามคลอง ผิดกับตลาดอัมพวาอย่างเห็นได้ชัด

รายการโทรทัศน์แห่ประโคมข่าวตามกระแสเพราะกลัวตกข่าว จึงไม่แปลกใจกับข่าวที่คนที่อยู่ริมน้ำตัดต้นลำพูหน้าบ้านตัวเองทิ้งเพราะรำคาญเรือนักท่องเที่ยวแห่ไปดูหิ่งห้อยและรุกล้ำความเป็นส่วนตัวของพวกเขา

Monday 19 November 2007

โรงพยาบาลธรรมศาสตร์ มาตรฐานสากล (2) ผ่าตัดต้อเนื้อที่คลีนิกตา


หมอปิยะดาจะผ่าตัดตาซ้ายของผมในอีกสัปดาห์ต่อมา การผ่าตัดไม่ต้องเตรียมตัวอะไรมาก แค่รอวันนัดเท่านั้น พอถึงวันอังคาร โรงพยาบาลโทรมา บอกว่าให้มาเช้าๆ หน่อยเพราะวันนี้มีคนไข้คนหนึ่งไม่มา โรงพยาบาลเลยเลื่อนเราขึ้นผ่าตัดตอนเช้า เราไม่มีปัญหาอยู่แล้ว ก็ไปตามนัดแต่เช้ากว่าเดิมหน่อย

เราเอาใบนัดไปใส่กล่องแล้วไปหาข้าวเช้ากิน แล้วกลับมานั่งรอเรียก สักพักเจ้าหน้าที่เรียก บอกว่าอย่าไปไหน เดี๋ยวจะมีเจ้าหน้าที่มารับตัว (เข้าห้องผ่าตัดนะ ไม่ใช่ไปพบพญายม) คอยสักพัก ประมาณเก้าโมง ก็มีเจ้าหน้าที่ผู้ชายคนหนึ่งมาตามให้เราขึ้นไปผ่าตัดบนอีกตึกหนึ่ง ก่อนเข้าห้อง พยาบาลบอกว่าให้เอาของมีค่าฝากญาติไว้ อันที่จริงเราไม่มีของมีค่าอะไร เราเอาของเล็กๆ น้อยๆ ฝากเพื่อนไว้ เปลี่ยนเครื่องแต่งตัวเป็นชุดผ่าตัดสีเขียว(แบบที่หมอใส่)ที่ห้องล้อกเกอร์ จากนั้นขึ้นไปนอนบนเตียง รอพยาบาลมาเข็นเข้าห้องผ่าตัด

ระหว่างรอมีเพลงบรรเลงเพราะๆ ให้ฟัง ผมชอบมาก ต้องชมคนเลือกเพลงที่เลือกได้เหมาะเหมง ทำให้คนไข้(อาการไม่ปกติแบบผม)สงบได้อย่างราบคาบ ผมกระดิกเท้ารอเข้าห้องผ่าตัด

รอสักพัก คุณพยาบาลมาเข็นเราเข้าห้องผ่าตัด หมอที่ทำการผ่าตัดเราในวันนั้น ก็คือ พ.ญ.ปิยะดา พูลสวัสดิ์ นั่นเอง หมอบอกว่าไม่ต้องกลัวอะไร ไม่เจ็บ หมอจะหยอดยาชาให้ หมอจัดการปิดหน้าปิดตาอีกข้าง ถ่างตาเราด้วยอะไรจำไม่ได้แล้ว น่าจะเป็นพลาสเตอร์ ขณะผ่าตัดก็ยังเห็นลางๆ แต่ไม่ชัด ไม่รู้สึกเจ็บอะไร ขณะผ่าตัดอหมอก็สอนเรื่องการผ่าตัดไปด้วย เข้าใจว่ากำลังสอนนักเรียนแพทย์หรือแพทย์รุ่นน้อง แต่ผมไม่เห็น หมอใจดีมาก ผ่าไปปลอบคนไข้ไป ทำให้คนไข้ไม่เครียด อันที่จริงผมก็ไม่ได้เครียดอะไรเพราะคิดว่าคงไม่สาหัสสากัณฑ์อะไร แต่ขั้นตอนในการผ่าตัดตานั้นค่อนข้างอ่อนไหว ไม่เหมือนผ่าตัดแขนขาซึ่งเป็นอวัยวะภายนอก การผ่าตัดตามีเรื่องเกี่ยวกับการมองเห็นเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย

ได้ยินหมอพูดถึงเรื่องการเย็บ "เยื่อหุ้มรก" ติดกับตาหลังจากขูดต้อเนื้อออกจากตาไปแล้ว เยื่อหุ้มรกนี้ต้องเอามาจากสภากาชาดไทย แต่ผมยังไม่ทราบว่าเป็นอะไร คิดว่าต้องไปอ่านเกี่ยวกับเรื่องนี้ก่อน

เวลาผ่านไปนานเท่าไรไม่รู้ รู้แต่ว่าไม่นานมากนัก คงจะสักหนึ่งชั่วโมงกระมัง ทุกอย่างก็เสร็จ

พยาบาลเข็นเราออกมาห้องรอ เธอบอกว่าเราจะกลับเลยหรือจะรอให้ญาติไปเอายาจากข้างล่างมาก่อน แล้วค่อยกลับขึ้นมารับเรา เราบอกว่ากลับเลยดีกว่าเพราะยังไม่รู้สึกเจ็บอะไร ตอนเดินไปเอายากับเพื่อนรู้สึกเจ็บนิดๆ เพราะยาชาเริ่มหมดฤทธิ์ เพื่อนพาเรากลับบ้าน ตอนกลับนี่สิ ปวดเอาเรื่องเหมือนกัน แต่ก็ได้ยาแก้ปวดมา ก็บรรเทาได้บ้าง

หมอนัดให้ไปตัดไหมที่เย็บออกในอีกสัปดาห์มา ก็คอยอย่างเดียว หมอให้หยอดตาทุกวัน เราเพียงแต่ทำตามคำแนะนำของหมอทุกอย่างก็ไปได้ดี

เป็นประสบการณ์ในการเข้าโรงพยาบาลครั้งแรกของผม มันดีไปอีกแบบ อาทิตย์หน้าต้องไปตัดไหมออก คงมีเรื่องผจญภัยไปอีกแบบ

ตัดแปลงภาพมาจาก ที่นี่ ดอท คอม

Friday 16 November 2007

โรงพยาบาลธรรมศาสตร์ มาตรฐานระดับสากล



มีโอกาสไปโรงพยาบาลธรรมศาสตร์ รังสิตเพื่อตรวจตาซึ่งเป็นต้อเนื้อ ประทับใจกับการให้บริการของโรงพยาบาลมากแม้คนไข้จะหนาตาก็ตามโดยเฉพาะแผนกตา (Eye Clinic) คนไข้ส่วนใหญ่เป็นผู้สูงวัย รวมทั้งตัวผมด้วย

ผมเดินทางออกจากบ้านพักที่คลองสามเวลาประมาณ 6 โมงเช้าเพื่อไปรับบัตรคิว เมื่อได้บัตรคิวแล้ว เรานั่งคอยสักพัก เจ้าหน้าที่แจ้งว่าเมื่อได้คิวแล้วจะแยกไปตามแผนกต่างๆ ที่เราต้องการตรวจโดยเจ้าหน้าที่จะนำแฟ้มประวัติคนไข้ของเราไปให้แผนกตาเอง
เมื่อเรานำแผ่นกระดาษที่ได้จากแผนกทะเบียนคนไข้ไปให้แผนกตา และแผนกตาแจ้งเราว่าจะให้เข้าตรวจวัดสายตาเบื้องต้นเวลาประมาณ 8 โมงเช้า และหมอลงตรวจเวลาประมาณ 9 โมง ยังมีเวลาเหลืออีกมาก ผมเดินไปหาอะไรรองท้องเป็นอาหารเช้าที่โรงอาหารของโงพยาบาล

โรงอาหารที่นี่สะอาดสะอ้านตามมาตรฐานของโรงพยาบาล ราคาไม่แพงเหมือนที่อื่นๆ รสชาดใช้ได้ทีเดียว เมื่ออิ่มท้องแล้วเราเดินมานั่งคอยที่หน้าหน้าห้องตาสักครู่ เจ้าหน้าที่เรียกชื่อเราให้เข้าไปตรวจวัดสายตา มีพยาบาลคอยทำหน้าที่ตรวจ การตรวจสายตาก็เหมือนกับที่อื่นๆ นั่นคือมีตัวอักษรขนาดต่างๆ ให้เรา

ก็เป็นธรรมดา พยาบาลที่นี่ก็เหมือนที่อื่นๆ อีกหลายแห่งที่มีชีวิตอยู่กับโรงพยาบาลนานๆ สุขภาพจิตจึงไม่สู้ดีนัก หรืออาจเป็นเพราะมีทัศนคติไม่ดีต่ออาชีพต่อตนเองก็เลยออกหน้าบึ้งๆ ไม่มีความพึงพอใจต่ออาชีพ หรืออีกสาเหตุอาจมาจากพื้นฐานครอบครัวทางบ้านไม่ดีจึงส่งผลต่อบุคลิกของคุณพยาบาลเหล่านี้ก็ได้

วัดสายตาเสร็จเจ้าหน้าพยาบาลจะให้คิวบัตรกระดาษเขียนเองสี่เหลี่ยม เขียนไว้ชัดเจนดี คือ

คิวที่ 4
ห้อง 5
หมอ ณัฐพล
นั่งรอตามคิวค่ะ

ผมได้คิวต้นๆ เพราะไปตั้งแต่เช้า ได้เข้าตรวจกับคุณหมอณัฐพลซึ่งเป็นหมอผู้ชายขณะกำลังเข้าตรวจหมอถามผมว่าเราอยากทำอะไร ผมบอกอยากลอกต้อเนื้อ เผอิญแพทย์หญิงท่านหนึ่งที่อยู่ใกล้ๆ บอกว่าขอให้ส่งผมไปให้เธอก็ได้ ผมเลยได้ตรวจกับแพทย์หญิงคนนี้ ชื่อ พ.ญ.ปิยะดา พูลสวัสดิ์ เป็นหมอตาที่ใจมาก พูดเพราะกับทุกคน หมอตรวจสักครู่จึงนัดให้ผมเข้ารับการผ่าตัดในวันอังคาร ที่ 7 พฤศจิกายน ขอให้ผมหยุดงานหนึ่งสัปดาห์ ผมตอบตกลงเพราะไม่มีทางเลือกอื่นใดเนื่องจากตั้งใจมาแล้ว ผมกลับบ้านหลังจากเสร็จการตรวจเพื่อรอขึ้นเขียงในสัปดาห์ต่อไป

ภาพจาก โรงพยาบาลธรรมศาสตร์

Friday 2 November 2007

ชดเชยความล่าช้าหรือเสียหาย


เมื่อปีก่อน ผมเดินทางไปไต้หวันด้วยสายการบิน KLM (ของดัชท์) เที่ยวบินที่ 877 กรุงเทพฯ-ไทเป ตอนนั้นเป็นช่วงหน้าหนาวของยุโรป เข้าใจว่าหิมะตกมาก เครื่องไม่สามารถขึ้นได้ ทำให้เดินทางมาถึงกรุงเทพช้ากว่ากำหนด และเครื่องบินต้องออกจากกรุงเทพฯ ไปไทเปช้ากว่ากำหนดสองชั่วโมงกว่า

ผู้โดยสารของเที่ยวบินนั้นไม่รู้สึกหงุดหงิดกับการเดินทางเที่ยวนั้น ทุกคนให้อภัยเพราะเป็นเหตุสุดวิสัย กับสิ่งที่สายการบินปฎิบัติกับผู้โดยสารนั้นทำให้ผ่อนคลายไปได้ นั่นคือ เขาชดเชยความผิดพลาดของเขาโดยการแจกคูปองอาหารให้ แจกเวาเชอร์ลดคราคาตั๋วเครื่องบิน 55 ยูโร แจกเวาเชอร์เพื่อซื้อของบนเครื่องบินครึ่งราคา และแจกของขวัญอีกเพื่อเอาใจผู้โดยสาร

อันที่จริง เขาไม่ต้องทำมากมายอย่างนั้นก็ได้เพราะเป็นเหตุสุดวิสัย แต่เขาแสดงความจริงใจ เอาใจใส่ผู้โดยสารด้วยความรู้สึกผิด ไม่เหมือนกับของสายการบินไทยและรถไฟไทย

ครั้งหนึ่ง ปีก่อนเช่นกัน ผมไปมะนิลา ฟิลิปปินส์ด้วยสายการบินไทย ตอนขากลับเครื่องบินดีเลย์สองชั่วโมง กว่าเครื่องจะออกก็ปาเข้าไปสี่ทุ่มกว่า เจ้าหน้าที่สายการบินไทยเอาแซนวิชอันเล็กๆกับน้ำผลไม้อีกกล่องมาแจก เห็นแล้วสังเวชเสียจริง หากเปรียบเที่ยบกับ KLM แล้ว สายการบินไทยยังอยู่ในอันดับบ้วยๆ ของการบริการ มีแต่พวกขี้โม้เสียมากกว่า ใครบอกการบินไทยดี ผมเถียงหัวชนฝา

มาถึงรถไฟไทย ไม่ว่าจะประท้วงหรือเกิดความผิดพลาด รถไฟตกราง หรือรถไฟแหกขึ้นมาบนชานชลา ชนระเนระนาด ไม่เห็นมีใครพูดถึงการชดเชย เมื่อสองวันก่อนคนงานรถไฟประท้วง ไม่มีใครพูดถึงความลำบากของผู้โดยสาร ยกเว้นเสื่อมวลชน คนรถไฟไม่ต้องพูดถึง พวกเขาพูดแต่เรื่องตัวเองก่อนผู้โดยสาร ถ้าเป็นอย่างนี้ ผมว่าขายให้เอกชนไปเถอะ หากไม่มีปัญญาจะทำให้ดี ทรัพย์สมบัติของประเทศชาติ ไม่ใช่ของคนงานรถไฟ หากเห็นว่าไม่คุ้มก็ไม่น่าปล่อยให้พวกเขาทำ ทั้งๆ ที่ผมเองก็ยังเห็นว่ากิจการเหล่านี้เป็นสาธารณูปโภค รัฐบาลควรดูแล ยอมขาดทุนบ้างเพื่อความผาสุกของประชาชนก็ตาม แต่หากเราปล่อยให้คนเหล่านี้เข้าคุกคามประชาชนอยู่บ่อยๆ อย่างนี้มันไม่ยุติธรรมสำหรับคนไทยทั้งประเทศ ให้เอกชนทำไปเหอะ อย่าอุ้มคนเหล่านี้อยู่เลย ปล่อยให้ทำไปก็ไม่มีอะไรดีขึ้น รังแต่จะสะสมหนี้สิน เพราะคนรถไฟไร้ความรับผิดชอบต่อหน้าที่ของตนเอง ไร้ประสิทธิภาพ สงสารคนไทยทั้งประเทศที่ต้องมารับกรรมที่เกิดจากคนงานรถไฟเป็นผู้ก่อ

Tuesday 9 October 2007

ภิกษุสันดานกา(ตัวจริง)๒


ได้อ่านข่าวเกี่ยวกับพระสงฆ์กลุ่มเดิมที่ขู่จะฟ้องศิลปินแห่งชาติที่เป็นกรรมการตัดสินการประกวดศิลปกรรมแห่งชาติครั้งที่ ๕๓ แล้วรู้สึกสมเพชสงฆ์บ้านเรา ไม่รู้จักละวาง ไม่รู้จักใช้ปัญญา ปิดหูปิดตา ท่านน่าจะสึกไปเล่นการเมืองนะ เสียดายข้าวที่ใส่บาตร ไม่รู้ว่าพระจริงหรือเปล่า น่าสงสาร มีปัญญาแค่นี้เองหรือ เสียดายเงินที่รัฐบาลเอาไปสร้างมหาวิทยาลัยสงฆ์จริงๆ เฮ้อ


ภาพจาก หนังสือพิมพ์ผู้จัดการ

Sunday 7 October 2007

ภิกษุสันดานกา(ตัวจริง)



ได้ฟังข่าววิทยุ ดูข่าวทั้งหนังสือพิมพ์และโทรทัศน์ เห็นพระออกมานอนดิ้นนอนแถกบนพื้นอวดผู้สื่อข่าวและประชาชนเพื่อประท้วงประท้วงภาพเขียนชื่อ “ภิกษุสันดานกา” ของนายอนุพงษ์ จันทร ศิลปินที่ได้รับรางวัลประกาศนียบัตรเกียรตินิยมอันดับ ๑ เหรียญทองประเภทจิตรกรรมจากการแสดงศิลปกรรมแห่งชาติครั้งที่ ๕๓ แล้วนึกสังเวชและสมเพชผู้ที่อ้างว่าเป็นพระผู้นี้ (หรือที่ชาวบ้านเรียกกันว่า “เสือเหลือง” ) จริง ๆ พี่แก ทำอะไรแบบขาดสติและปัญญาแท้ๆ ไม่แน่ใจว่าคนที่ลงนอนกับพื้นนั้นเป็นพระจริงหรือพระปลอมเพราะตอนนี้แยกออกลำบากเหลือเกิน หากเป็นนพระจริงๆ ก็คงหมดหวังจะฝากพุทธศาสนาไว้กับท่านแล้วล่ะ

โถ ทำไปได้อย่างไร อยู่ในเพศบรรพชิต(ถ้าเป็นพระจริงนะ) เขาไม่ทำอย่างนั้น นอนกลิ้งนอนเกลือกกับพื้น หากจะประท้วงก็ทำหนังสือให้เป็นเรื่องเป็นราวไปยังผู้ที่เกี่ยวข้อง เขามีหน่วยงานรับผิดชอบอยู่ อย่ากินปูนร้อนท้อง ใช้สติก่อนทำอะไรห่ามๆ อย่างนั้น ประพฤติตัวอย่างนี้แล้วจะไปเทศนาหรือเผยแผ่คำสอนให้ประชาชนได้อย่างไร

ท่านกล้ารับประกันได้มั้ยล่ะว่าพระที่แหกคอกหรือพระประพฤติตัวไม่ดีนั้นไม่มีในประเทศไทย พระที่ออกไปทำท่าพิลึกๆ ปลุกเสกจุตุคามซึ่งไม่ใช่กิจของสงฆ์นั้นไม่มี พระที่นอนกับสีกาในกุฏินั้นไม่มี ก็เห็นๆ อยู่ ท่านจะมาร้องแรกแหกกระเชอทำไม ก็ทำตัวให้ดีคนก็ศรัทธาเอง ไม่ต้องร้องปาวๆ ให้คนศรัทธา

เมื่ออาทิตย์ก่อน ผมไปที่เซียร์รังสิตเห็นพระสงฆ์ ๔ รูปนั่งดื่มกาแฟในร้านหรู คุยโทรศัพท์ราคาแพงเสียงลั่นทั้งๆ ที่ไม่ใช่สถานที่ที่พระสงฆ์จะเข้าไปเดินเล่นเลย เห็นแล้วเซ็ง ทำไมท่านไม่อ้าปากร้องโวยวายเลยล่ะว่าไม่สมควร

โน่นไปดูวัดบางวัดแถวปทุมธานีที่มีพฤติกรรมแปลกๆ เอาพระพุทธรูปออกมาให้ชาวบ้านผ่อนรายเดือนน่ะดีแล้วหรือ แล้วใช้วัดเป็นที่มั่วสุมรับใช้นักการเมือง ไม่เห็นท่านโวยวาย เงียบเป็นเป่าสาก

แบบนี้ทำให้ชาวบ้านอาจคิดเลยเถิดไปเองว่า ท่านน่ะไม่ได้รักพุทธศาสนาจริงๆ หรอก คงอยากดังมากกว่า หรืออาจจะพาลคิดเกินเลยไปอีกว่า “รับเงินใครมาหรือเปล่า” หรือว่าว่าสติแตกไปแล้ว คุณพระ!

ภาพจาก กระปุก

Wednesday 26 September 2007

ความงามที่ซ่อนอยู่ภายใน

ว่ากันว่าคนเมืองในปัจจุบันแล้งน้ำใจกันไปหมดแล้ว แม้แต่การเสียสละเล็กๆ น้อยๆ เช่นสละที่นั่งบนรถประจำทางสาธารณะให้คนอ่อนแอกว่าก็หายากเต็มที อย่างไรก็ตาม สิ่งสวยงามย่อมเกิดขึ้นบนโลกเราเสมอ อย่างเช่นวันนี้ (วันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๕๐) เวลา ประมาณ ๑๕.๓๐ น. ขณะที่เราโดยสารรถไฟฟ้าใต้ดินจากสถานีหัวลำโพงไปสวนจตุจักร ผู้โดยสารแน่นพอสมควร ไม่มีที่นั่ง เมื่อมีคนชราคนหนึ่งขึ้นมา เราเตรียมขยับให้แกนั่ง แต่ก็ไม่ทัน เด็กวัยรุ่นนักเรียน ม. ปลาย (น่าจะอยู่ม.๔) คนหนึ่ง (ชื่อ น.ส.จิรานุช มหา...ที่หน้าอกปักชื่อตัวย่อ พ.ม.น่าจะเป็นโรงเรียนสตรีมหาพฤฒาราม)ลุกขึ้นเชิญให้คนแก่คนนั้นมานั่งในที่นั่งของเธอ

เราเห็นความงามที่ซ่อนอยู่ภายในตัวเด็กคนนี้และภาวนาขอให้ความงดงามเช่นนี้ติดตัวไปจนเธอโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ที่น่านับถือต่อไป
ใครว่าคนเมืองใจดำ อย่างน้อยเด็กคนนี้ก็ทำให้เห็นว่าสังคมไทยนั้น ยังมีคนน้ำใจงาม
การทำความดีนั้น ไม่จำเป็นต้องทำในสิ่งที่ยิ่งใหญ่ แต่การทำความดีทุกครั้งเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ อย่างน้อยก็สำหรับตัวเราเอง

ขอเป็นกำลังให้เด็กคนนี้ทำหน้าที่พลเมืองที่ดีของไทยต่อไป

Thursday 6 September 2007

โรงพยาบาลราชบุรี สถานพยาบาลล้าหลัง


ได้ข่าวจากเพื่อนๆ ที่เกษียณราชการเหมือนเราว่าปัจจุบันโรงพยาบาล(ของรัฐ)ต่างๆ มีโครงการจ่ายตรงเพื่อเก็บเงินค่ารักษาจากกรมบัญชีกลางโดยที่เราไม่ต้องตั้งเบิกจากต้นสังกัด เราไปที่โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เพราะบ้านลูกชายอยู่ละแวกนั้นเพื่อสมัครเข้าโครงการจ่ายตรงดังกล่าว ระบบการทำงานของรพ.ธรรมศาสตร์นั้นจัดว่าดีมาก ทำงานได้รวดเร็ว ระบบฐานข้อมูลสารสนเทศดีมาก เราจัดการพิมพ์ลายนิ้วมือและทุกอย่างเสร็จภายในเวลาไม่นานมากนักทั้งๆ ที่ในวันนั้นคนเยอะมาก เราได้บัตรโรงพยาบาลมา พนักงานแจ้งว่าเราสามารถใช้บริการได้ทันที แต่เราไม่ได้ใช้บริการในวันนั้นด้วยเหตุที่เรายังไม่ได้เป็นอะไร

อย่างไรก็ตาม โรงพยาบาลแต่ละแห่งมีประสิทธิภาพการทำงานไม่เหมือนกัน เมื่อสองสามวันก่อนเราได้ไป “โรงพยาบาลราชบุรี”โดยบังเอิญ เลยตัดสินใจทำบัตรเพื่อสมัครเข้าโครงการจ่ายตรงเพราะบ้านเราอยู่สมุทรสงคราม เราต้องใช้เวลาจัดการเรื่องเอกสารต่างๆ เป็นเวลากว่าหนึ่งชั่วโมง เมื่อพิมพ์ลายนิ้วมือเสร็จแล้วก็ต้องช้อคเพราะทางโรงพยาบาลบอกว่าต้องรอบัตรอีกหนึ่งเดือน ตอนนี้ยังใช้บริการไม่ได้

โอ้โห อะไรจะขนาดนั้น นี่ขนาดเรามีฐานข้อมูลออนไลน์ ทางอินเตอร์เน็ตแล้ว โรงพยาบาลยังไม่สามารถจัดการกับข้อมูลได้ (ก็ไม่รู้ว่ารอพระแสงของ้าว ดาบฟ้าฟื้นอะไรนักหนา) ต้องรอเวลาถึงหนึ่งเดือน

ทำให้เราเปรียบเทียบได้ว่าคุณภาพของคนนั้นเป็นเรื่องสำคัญ ปัจจุบันโรงพยาบาลไม่สามารถปฏิเสธได้อีกต่อไปว่าโรงพยาบาลไม่ได้มีหน้าที่รักษาคนไข้อย่างเดียว และไม่จำเป็นต้องพัฒนาเรื่องอื่นรวมถึงฐานข้อมูลเนื่องจากมีคนไข้มากขึ้น การรวบรวมและสร้างฐานข้อมูลจึงเป็นเรื่องสำคัญ โรงพยาบาลราชบุรีต้องปรับปรุงคนและบุคลากรให้มากกว่านี้ อย่าเอาพวก Deaf & Dumb (พวกหูหนา ตาเร่อ) หรือพวก Stupid มาทำงานฐานข้อมูลอย่างที่ผมเคยเจอ และผมสัญญากับตัวเองว่าจะไม่เข้าไปรับบัตรที่ว่านั้นไม่ว่าด้วยเหตุใดก็ตามเพราะขนาดฐานข้อมูลง่ายๆ ยังทำเป็นเดือน เรื่องการรักษาพยาบาลก็ไม่ต้องพูดถึง หากใครมีประสบการณ์ร้ายๆ จากโรงพยาบาลแห่งนี้มาก็เล่าสู่กันฟังนะครับ

Saturday 25 August 2007

A Sucker Foodshop on the highway


เราเดินทางบ่อยครั้งเพื่อไป Metal detecting ตามชายหาดและที่อื่นๆ ร้านอาหารเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เรามักทานอาหารง่ายๆ ราคาไม่แพงมากนัก ตามร้านข้างทางที่ขับรถผ่าน เราพบเจอร้านอาหารที่ดีบ้าง(ถ้าโชคดี)ไม่ดีบ้าง (พบเจอบ่อยมาก)ไปตามเรื่องและโอกาส

สิ่งที่อยากจะบอกเล่าวันนี้เป็นร้านอาหารที่เราพบขณะขับรถไปเที่ยวเกาะสีชัง เริ่มแรกเป็นร้านที่อยู่ในจุดพักรถปั้มน้ำมัน ปตท.ข้างทางที่บางนา เราไม่ได้ขึ้นทางพิเศษเพราะวันนั้นรถไม่มากนัก เราขับทางข้างล่าง ในจุดพักรถมีร้านอาหารมากมาย แต่วันนั้นเราไปถึงค่ำ ศูนย์อาหารปิดหมดแล้ว เหลือแต่ภัตาคาร เราลองเสี่ยงเลือกร้านหนึ่ง(ไม่มีราคาอาหารติดป้าย)ชื่อร้าน The Anda Food Channel เราจำต้อสั่งอาหารที่ราคาไม่แพงมากนัก(แต่ราคามหาโหด)

ลองดูราคาอาหารแล้วกันนะครับ
ราดหน้าหมู่ฮ่องกง จานละ 65 บาท
ข้าวขาหมูพริกไทยดำ จานละ 65 บาท
ยังกะรับประทานในโรงแรม(ที่ดวงจันทร์) เฮ้อ!

ถ้าเทียบกับคุณภาพและปริมาณในร้านอาหารต่างๆ ที่เราเคยทาน เช่น ในโรงอาหารของมหาวิทยาลัยที่เราทำงานอยู่ ราคาแค่ 15 บาท อร่อยกว่ามาก แถมปริมาณมากกว่าด้วย ที่นำมาเล่าให้ฟังก็เพราะเห็นว่า การฉกฉวยโอกาสหากินกับนักเดินทางและนักท่องเที่ยวในบ้านเรานั้นเป็นไปอย่างตะกรุมตะกราม ร้านเหล่านี้เป็นตัวบ่อนทำลายการท่องเที่ยว ทางการควรเข้าไปดูแล เราว่าน่าจะมีการควบคุมให้ได้โดยการออกกฎหมายบังคับให้ติดราคาอาหารหน้าร้าน เพราะทำลายความรู้สึกมาก ในต่างประเทศนั้น เขาไม่ทำกัน เราเคยเรียนอยู่ออสเตรเลีย ราคาอาหารตามร้านอาหารต่างๆ ในสถานที่ท่องเที่ยวจะเป็นมาตรฐาน ไม่ฉกฉวยโอกาสเหมือนบ้านเรา แม้ไปเที่ยวไต้หวันบ่อยครั้ง เราก็ไม่เคยเจออย่างนี้

ลองเปรียบเทียบกับราคาอาหารที่น่าจะแพงอย่างบนเกาะสีชัง เพราะต้องนำอาหารสดมาจากบนฝั่ง ราคายังยุติธรรมหรือ reasonable price ลองดูราคานะครับ ร้านอาหารที่ว่านี้ชื่อ ร้านสาวน้อย อยู่หาดถ้ำพัง เราเดินชายหาด detecting ไป พักไป หิวก็สั่งอาหารมาทาน อิ่มหมีพลีมันด้วยราคาน่าพอใจ
ข้าวผัดทะเล ไข่ดาว 45 บาท
น้ำขวดใหญ่ 20 บาท
น้ำแข็ง 15 บาท
โค้กขวดเล็ก (2 ขวด) 30 บาท
หมึกผัดไข่เค็ม 100 บาท
ข้าวเปล่า 10 บาท
รวมแล้วเราคิดว่าน่าจะจ่ายมากกว่านั้น แต่จ่ายไปเพียง 220 บาทเท่านั้น

อีกร้านหนึ่งที่น่านำมาบอกกล่าวกันก็คือร้านอาหารที่เราพัก คือ ทิวไผ่ ปาร์ค อาหารราคายุติธรรมดีทั้งๆ ที่อยู่บนเกาะเช่นกัน
น้ำ 1 ขวด ราคา 10 บาท
น้ำผลไม้ปั่น 25 บาท
ข้าวผัดทะเล 40 บาท
ราดหน้าทะเล 35 บาท
อาหารเช้า 75 บาท (ทานตามใจชอบ เติมได้ไม่อั้น)

ก็ลองนำมาเปรียบเทียบให้ดู เราเข้าใจว่าร้านอาหารหลายแห่งมาแล้วก็ไป ทำแล้วเลิก เพราะคิดเอาแต่ได้ ไม่ได้คิดว่าเป็นงานบริการหรือใจอยากทำธุรกิจประเภทนี้ แต่ทำเพราะหวังกอบโกยเอาเปรียบลูกค้าร่ำไป ก็ลองดูแล้วกัน ถ้าเจอร้านอาหารที่เป็นแค่ตัวsucker ก็เลี่ยงๆละกัน อย่าอุดหนุน

หมายเหตุ นำรูป Lamb ที่เคยกินในออสเตรเลียมาให้ดูเฉยๆ เพราะอยากจะบอกว่าราคาที่กินน่ะ ไม่ถึง 5 ออสเตรเลียนดอลลาร์ด้วยซ้ำ

Friday 22 June 2007

Clean Toilet for free


ส้วมที่วัดทุ่งการ้อง จังหวัดอยุธยา เป็นส้วมสะอาดมากแห่งหนึ่งที่เราพบในประเทศไทย มาตรฐานส้วมสาธารณะของไทยนั้นยังไปไม่ถึงไหน แม้เราจะหน้าใหญ่รับเป็นเจ้าภาพส้วมโลกในปีหน้าก็ตาม แต่ลองไปดูส้วมสาธารณะในกรุงเทพฯมหานครดูสิ ไม่อยากบรรยาย เราหาผู้ที่รับผิดชอบในเรื่องส้วมสาธารณะของไทยไม่ได้เพราะเกี่ยงกันจัง จะหานักการเมืองที่ทัศนวิสัยในเรื่องนี้ยากยิ่งกว่างมเข็มในมหาสมุทรอีกเพราะมาตรฐานนักการเมืองไทยยังด้อย น้ำเน่าเป็นส่วนใหญ่ พื้นฐานมักมาจากพวก stupidity เราก็เลยไม่รู้จะหวังอะไร ยิ่งเห็นออกมาเย้วๆ กันที่สนามหลวงยิ่งย้ำเน้นว่าพวกนี้ก็ยิ่งกว่า fucking stupid

Wednesday 30 May 2007

On the move

ลุงวรรณช่วยลูกสาวย้ายของ(สมบัติบ้า)จากมหาวิทยาลัยกลับบ้าน เมื่อคราวใกล้จบการศึกษา ตอนนี้พักเหนื่อยสนามหน้าบ้าน ลูกถ่ายไว้ เมื่อปีก่อน

Rock Climbing



เตรียมวางสมอเพื่อร้อยเชือกในการโรยตัว (belay) หน้าผาแห่งนี้ไม่สูงมากนัก เราเล่นก่อนจะไปปีนอีกแห่งหนึ่ง

Rock Climbing at Freycinet, Tasmania



ภาพหมู่ที่ลุงวรรณถ่ายกับพวกไปปีนหน้าผา ทางตอนเหนือของทัสมาเนีย เพื่อนๆ เหล่านี้ส่วนใหญ่เรียน Education มีสองคนเรียน Social Work และอีกคนเรียน Aquaculture
(ลุงวรรณ อยู่ข้างหน้าสุด)

Wednesday 14 March 2007

ภาษาอังกฤษวันละหน่อยกับลุงวรรณ


แนะนำลูกค้า (Introducing Clients)

Mr. Mitchell, I’d like you to meet my manger, Henry Lewis?”
Mr. Mitchell อาจพูดต่อไปว่า
“How do you do?” Mr. Henry ก็ตอบว่า
“How do you do?” เหมือนกัน
Mr. Mitchell ก็อาจตอบว่า
“Please to meet you.” หรือ “Good to meet you.”
หัดใช้บ่อยให้การทักทายเป็นไปอย่างอัตโนมัติและสุภาพ
เคล็ดในการพูด (Speaking Tips)

“How do you do?” ในภาษาอังกฤษนั้นค่อนข้างจะเป็นทางการในภาษา อังกฤษแบบ British English และการตอบในคำถามนี้ต้องเป็นการตอบทวนคำถามด้วย “How do you do?” เท่านั้น ก็แปลกดี เรียนรู้มรรยาทไว้ก็ดี ไม่เสียหลายครับ

ในงานเลี้ยงแบบไม่เป็นทางการ (At a more informal party)
เมื่อเราแนะนำให้เพื่อนสองคนรู้จักกัน เราก็พูดง่ายๆ สั้นๆ ว่า
“John, this is Sarrah.”
แค่นี้ก็รู้เรื่องกันแล้ว ไม่ต้องนึกถึงประโยคยาวๆ ให้ยุ่งยาก

Tuesday 13 March 2007

ภาษาอังกฤษวันละหน่อยกับลุงวรรณ


แนะนำคนอื่น
แนะนำเพื่อนให้รู้จักกับเพื่อนร่วมงาน (Introduce a friend to a work colleague)

“Sarrah, have you met my colleague John?”


“Sarrah, I’d like you to meet my colleague, John”


Sarrah พูดก็ว่า


“Please to meet you, John.” หรือ


“ Nice to meet you, John.”

ลองฝึกพูดกับเพื่อนๆ ในหอก็ได้

ภาษาอังกฤษวันละหน่อยกับลุงวรรณ




แนะนำตัว(Introduce yourself)
การแนะนำตนเองของชาวตะวันตกนั้นถือว่าเป็นวัฒนธรรมและเป็นธรรมเนียมปฏิบัติ ตามมมรรยาทเราควรแนะนำตัวเองก่อน

ที่งานปาร์ตี้แบบสบายๆ แห่งหนึ่ง

“ I’m Maria.” หรือ
“Hello. My name’s Maria.”
คำตอบอาจเป็น
“Hello Maria, I’m Sarrah.”หรือ
“Nice to meet you. I’m Sarrah.”
ในที่ทำงาน สถานการณ์คล้ายๆ กัน
“I’d like to introduce myself. I’m Maria from….” หรือ
“Let me introduce myself. I Maria from…”
ผู้พูดอีกฝ่ายอาจตอบว่า
“Nice to meet you. I’m Peter Mitchell from Mitchell Creations”
“Please to meet you. I’m Peter Mitchell from Mitchell Creations”
“Hoe do you do. I’m Peter Mitchell from Mitchell Creations”


ฝึกมากๆ นะครับ จะคล่องไปเอง





ภาษาอังกฤษวันละหน่อยกับลุงวรรณ


Greeetings

ทักทายคนที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน
เราสามารถใช้คำว่า “Hello” ทักทายคนที่เราไม่รู้จักได้ แต่ก็มีคำทักทายที่เป็นทางการกว่าอยู่เหมือนกัน เช่น
“Good morning /Good afternoon / Good evening.”
อีกฝ่ายอาจจะตอบมาด้วยคำพูดอย่างเดียวกับคำที่เราใช้ แล้วก็ตามด้วยการสนทนาอย่างสุภาพ เช่น “How was your trip?”
“How did you find our office easily?”

หัดพูดประโยคซ้ำๆ บ่อย จะรู้สึกว่าเราพูดคล่องไปโดยไม่รู้ตัว



ภาษาอังกฤษวันละหน่อยกับลุงวรรณ


ทักทายในภาษาอังกฤษ (Greetings)
เพื่อนสองคนพบกัน (Two friends meeting)
ปกติถ้าเป็นเพื่อนกันเมื่อพบกันเรามักทักทายด้วย “Hi” แล้วก็ถามด้วยคำถามทั่วไป เช่น
“How are you?”
“How are things?” หรือ
“How’s life?”
คำตอบส่วนใหญ่ก็จะเป็นไปในทางที่ดี เช่น
“Fine thanks, and you?
“Fine thanks, what about yourself?”
“Not bad”

โดยส่วนใหญ่แล้วไม่มีใครตอบในทางลบ เช่น It's aweful! แม้ว่าเราจะถูกภรรยายำมาจนเละก็ตาม
ลองฝึกบ่อยๆ ก็จะชินและเมื่อเวลาต้องทักทายจริงๆ เราก็สามารถพูดได้โดยอัตโนมัติ ไม่ต้องนึกก่อนพูด




Monday 12 March 2007

ภาษาอังกฤษวันละหน่อยกับลุงวรรณ




การออกเสียงภาษาอังกฤษ (Improving your pronunciation)

ต่อไปนี้เป็นเคล็ดที่ช่วยในการปรับปรุงการออกเสียงภาษาอังกฤษของเราได้
ก่อนอื่นต้องยอมรับซะก่อนว่า เราไม่ใช่เจ้าของภาษา ไม่ได้เกิดมาในสภาพแวดล้อมแบบนั้น การที่จะให้เราพูดภาษาอังกฤษมีสำเนียงแบบเจ้าของภาษาเปี้ยบนั้นก็คงยาก เพราะเรามาเรียนภาษาอังกฤษเอาเมื่อตอนที่เราโตแล้ว ยิ่งเราอยู่ในประเทศไทยด้วยแล้ว ไม่ค่อยจะมีโอกาสพูดภาษาอังกฤษซักเท่าไหร่ จึงเป็นเรื่องลำบากใจสำหรับคนไทยเราบ่อยๆ เอาล่ะ ไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญอะไร เอาเป็นว่าพูดแล้วคนอื่นเข้าใจที่เราพูดเป็นอันใช้ได้ อย่างไรก็ตาม ไหนๆ เรียนแล้วก็ออกเสียงให้ใกล้เคียงกับเจ้าของภาษาหน่อยละกัน เพื่อจะเอาไปใช้ได้จริงๆ และก็อย่าสิ้นหวัง มีอยู่หลายวิธีที่เราสามารถปรับปรุงทักษะการออกเสียงและการพูดของเราได้


๑. ฟังให้บ่อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ (Listen to spoken English as often as possible)
ฟังเจ้าของภาษาออกเสียงคำหรือวลีต่างๆ แล้วก็ลองเอาเป็นแบบออกเสียงตามที่เจ้าของภาษาพูดดู

๒. หัดเรียนตัวอักษรที่ใช้แทน เสียง(phonetic alphabet)ดูบ้าง (Learn the phonetic alphabet)
ให้เราใช้อักษรแทนเสียง(หาได้จากในหน้าแรกหรือปกในของDictionary) เป็นแนวในการออกเสียงคำใหม่ๆ
๓. อย่าลืมเรียนการเน้นหนักของเสียงในคำใหม่ที่เราเรียนด้วย (Don’t forget to learn the word stress of a new word)
คำในภาษาอังกฤษทุกคำมีการเน้นหนักหรือ stress ในแต่ละคำหรือการเน้นที่ท้ายประโยค (intonation) ตัวอย่างเช่น คำว่า “believe” มีสองพยางค์ คือ be กับ lieve แต่การออกเสียงไปเน้นหนักที่พยางค์ที่สองหรือพยางค์ท้ายคือ be’lieve ไม่ใช่‘believe หรือพยางค์หน้า

ว่ากันว่าการเน้นเสียงหนักในภาษาอังกฤษเป็นเรื่องสำคัญเหมือนกันเพราะหากเน้นผิดพยางค์ความหมายอาจเปลี่ยนไปหรือผู้ฟังที่เป็นเจ้าของภาษาไม่เข้าใจว่าหมายความว่าอย่างไร ลองอีกจะครับ




ภาษาอังกฤษวันละหน่อยกับลุงวรรณ


โครงสร้างตัวอย่างการสนทนา
ลองมาดูตัวอย่างโครงสร้างการสนทนาของประโยคก่อนๆ ข้างล่างที่เราเรียนมา เผื่อจะนำไปเป็นตัวอย่างของประโยคอื่นๆ ดูบ้าง
๑. เจ้าหน้าที่ทักทายเรา

"(Good morning) How can I help you?"
"What can I do for you?"

๒. เราขอให้คนอื่นทำอะไรให้เรา
I'd like some information about...
Can I have...
Three stamps for Europe, please.

๓. เจ้าหน้าที่ถามคำถามเรา
Single or return?
Air-mail or surface mail?

๔. เราตอบ
Oh,er, single thanks.
Um,let me see. Air-mail, please.

๕. เจ้าหน้าที่ถามว่าเราต้องการอย่างอื่นอีกหรือไม่
Will that be all?
(Is there)any thing else?

๖. เราตอบ
Ah, actually I also'd like...
No, that's it thanks. (Thank you.)

อย่าลืมหมั่นฝึกบ่อยๆ นะครับ การเรียนภาษาไม่ได้ยากมากสำหรับเรา หากเราพยายาม เพราะภาษา "เป็นพฤติกรรมที่มนุษย์สามารถเรียนรู้ได้"



Saturday 10 March 2007

ภาษาอังกฤษวันละหน่อยกับลุงวรรณ


ข้อควรจำสำหรับคำว่า “Please กับ Thank you”
ปกติ please จะอยู่ช่วงท้ายของประโยค เช่น

“Two tickets, please.”
“Can you give me direction to Silom Street, please?”

เราใช้ Thank you หลังจากเราได้รับอะไรบางอย่าง เช่น
“Here’s your change.”
“Thank you.”

การใช้ Excuse me
ถ้าเราต้องการถามหรืออยากให้ใครทำอะไรให้เรา เรามักใช้ “excuse me” เช่น
ในร้านขายของ “Excuse me, do you have this dress in a smaller size?”
บนถนน “Excuse me, do you know where the nearest bank is?”

หมั่นฝึกบ่อยๆ

ภาษาอังกฤษวันละหน่อยกับลุงวรรณ


Tips
เคล็ดในการพูด
เมื่อเราต้องการสอบถามหรือขอให้ใครทำอะไรให้เรา เราควรถามด้วยความสุภาพ ต่อไปนี้เป็นวิธีการถามแบบสุภาพ

การทักทายด้วยการ Say hello
เอ่ยคำว่า “Hello”ก่อนแล้วตามด้วยรอยยิ้ม เป็นการแผ้วทางหรือทอดสะพานก่อนที่เราจะถามคำถาม
“Hello, (I’d like) a travel card, please.”ในสถานการณ์ที่เป็นทางการขึ้น เราก็ใช้ “Good morning”, “Good afternoon”, “Good evening” (ข้อสำคัญอย่างหนึ่ง จำไว้ว่า “Good night” เราใช้ในความหมายว่า “Good bye” หรือร่ำลากันในตอนสิ้นสุดของวัน ไม่ใช่คำทักทายเหมือนกับที่ว่ามาแล้วนะครับ อย่าเข้าใจผิด)
"Good evening. We've booked a table for four"
ลองฝึกดูแล้วกัน

ภาษาอังกฤษวันละหน่อยกับลุงวรรณ


Responding to questions
ขณะที่เราสอบถามข้อมูล แล้วคนที่เราสอบถามนั้นต้องการข้อมูลเพิ่มเติม สมมุติว่าเขาถามคำถามกลับมา เราไม่ได้คาดคิดมาก่อนว่าเขาจะถาม เราอาจขอเวลาคิดนิดนึงก่อนพูดโดยการใช้คำพูด ลักษณะที่เป็น “Oh”, “Ah”, Um หรือว่า “Er” ก็ได้ เพื่อหาตำตอบ จำให้ขึ้นใจว่าการที่เรานิ่งเงียบโดยไม่มีเสียงอะไรออกมาจะทำให้คู่สนทนาของเรารู้สึกอึดอัด ลองดูสถานการณ์ต่อไปนี้เมื่อเราไปซื้อตั๋วรถไฟ

You: “Two tickets to Glasgow, please”
Clerk: “Single or return?”
You: “Um, return, please. We’re coming back tomorrow.

(You are bureau de change) แลกเงิน
Clerk: “How would you like your money?
You: “Oh, er, three tens and a five, please.

You: “Hello. Can I have a leaflet about London museum, please?”
Clerk: “Sure. Anything else?”

You: “Um, do you have any information about musicals?”

ลองหมั่นฝึกๆ ดูเผื่อได้ใช้เวลาไปต่างประเทศหรือพุดกับชาวต่างประเทศนะครับ

ภาษาอังกฤษวันละหน่อยกับลุงวรรณ


How to ask for things in English

การพูดขอให้คนอื่นเอาของให้เราเป็นภาษาอังกฤษนั้นไม่ยากนัก แค่ให้จำคำหลักๆ ไว้ แล้วก็เปลี่ยนประโยคไปตามสถานการณ์ ลองดูแล้วกัน

Asking clerks or desk helps สอบถามเจ้าหน้าที่

(ทักด้วย Hello) แล้วตามด้วยCan หรือ Could I have…..please? (เสียงต่ำลงหน่อย)
(Good Morning) Can/Could you give (หรือ get) me ….please?
(Good evening) A table for two, please

Interrupting people to ask them for something ขอขัดจังหวะเพื่อถามข้อมูล

Excuse me.
…Do you know if….?
….Do you have….?
…Do you except…(credit card)?
…Is this the right way for…(the post office)?
…Could you tell me if…(there is a post office near here)?

In more formal situations ในสถานการณ์ที่พูดกันอย่างเป็นทางการ
Excuse me.

… Would you mind…(keeping an eye on my luggage?)
… I wonder if you could …(move your suitcase a little.)

ลองฝึกดูนะครับ วันละนิดละหน่อย เดี๋ยวก็เป็นไปเอง อย่าท้อครับ เจอกันตอนหน้า

Friday 9 March 2007

ภาษาอังกฤษวันละหน่อยกับลุงวรรณ

ฝึกภาษาอังกฤษจากรายการโทรทัศน์

การเรียนภาษาอังกฤษจากโทรทัศน์นั้นนับว่ามีประโยชน์มากอีกวิธีหนึ่ง เพราะโทรทัศน์มีภาพประกอบให้เห็น ทำให้เราเข้าใจง่ายกว่าวิทยุที่พูดโดยไม่เห็นตัว แต่โทรทัศน์นั้นเราสามารถเข้าใจได้ จากภาษาท่าทางของผู้พูด เราสามารถเลือกรายการภาษาอังกฤษที่เราชอบและคิดว่าสนุก จำไว้เป็นคาถาว่ารายการอะไรก็มีประโยชน์ต่อการเรียนภาษาอังกฤษนั้น ต่อไปนี้เป็นข้อแนะนำในการดูรายการโทรทัศน์ภาษาอังกฤษที่เว็บไซต์ english@home (www.english-at-home.com) บอกไว้
ให้เลือกรายการโทรทัศน์ที่เราคิดว่าน่าสนใจ เพราะการเรียนภาษาอังกฤษนั้นควรจะสนุก ไม่ใช่เป็นสิ่งที่เราต้องฝืนใจทำหรือถูกบังคับให้ทำ ถ้าเราคลั่งไคล้รายการฟุตบอลก็เปิดดูรายการแข่งขันฟุตบอกหรือดูข่าวกีฬาอะไรเทือกนั้น
หาสมุดเก็บไว้ใกล้ๆ โทรทัศน์สักเล่ม เผื่อเอาไว้จดคำใหม่ๆ หรือคำที่เกี่ยวกับความรู้สึกที่เราได้ฟังจากโทรทัศน์ และการจดคำใหม่อย่างนี้จะเป็นประโยชน์มากขึ้นหากรายการที่เรากำลังดูอยู่นั้นมีคำอธิบายหรือ Subtitle ภาษาไทยอยู่ข้างล่าง
หมั่นดูรายการโทรทัศน์ภาษาอังกฤษอยู่เป็นประจำ แม้ว่าเราจะดูโทรทัศน์แค่วันละ ๑๕ นาที พอนานๆ ไป เราจะรู้สึกแปลกใจว่าภาษาอังกฤษของเราพัฒนาขึ้นอย่างทันตาเห็น
ไม่ต้องไปกังวลให้มากด้วยเหตุแค่ว่าเราไม่เข้าใจทุกอย่างในรายการโทรทัศน์เพราะโดยปกติรายการภาษาอังกฤษในรายการโทรทัศน์นั้นเขาทำเพื่อให้คนที่เป็นเจ้าของภาษาดู ภาษาจึงมีคำยากๆ และคำที่เกี่ยวรู้สึกและคำที่เข้ากับวัฒนธรรมของเขา
แม้แต่รายการการ์ตูนหรือรายการสำหรับเด็กก็เป็นประโยชน์ต่อการเรียนภาษาอังกฤษทั้งนั้น เช่นรายการตอบคำถามทำให้เรารู้วิธีถามและตอบเป็นภาษาอังกฤษ
พยายามจดรายการที่เรารู้สึกว่าฟังเข้าใจง่ายและหมั่นดูเป็นประจำ การทำอย่างนี้จะช่วยเพิ่มความมั่นใจให้เราและทำให้เราประสบผลสำเร็จในการฝึกภาษาอังกฤษได้ในเร็ววัน

Wednesday 28 February 2007

เตรียมตัวลงหาด

เราเดินทางไปเที่ยว แต่ไม่ลืมติด เครื่อง Metal Detector ไปด้วยเพราะอาจได้ของแปลกๆ นอกจากแหวน เหรียญ สร้อยคอหรืออื่นๆ แล้ว เราภูมิใจที่ได้ช่วยเหลือคนอื่นบ้าง
ครั้งหนึ่งเรากำลังหาของที่ชายหาด มีผู้หญิงคนหนึ่งเดินมาบอกว่า "เฮีย ช่วยหาแหวนให้หน่อยได้มั้ย ไม่รู้ตกตรงไหน" เราเดินไปดูให้ สักพักก็ได้ของคืนตรงที่แกกับคณะนั่งดื่มกินกันอยู่ที่ชายหาด แหวนตกอยู่ใต้เก้าอี้นั่นเอง แกขอบอก ขอบใจใหญ่จะให้เงินเราเป็นการตอบแทน เราบอก "ไม่เป็นไรหรอก ไม่ได้ลงทุนอะไร" แกเลยให้เบียร์มาหนึ่งโหล บางครั้งเงินก็ไม่สำคัญอะไรกับเรา เราภูมิใจที่ได้ช่วยเหลือใครบ้าง

Hobby แบบนี้ก็ดีเหมือนกันนะ

ไปเที่ยวที่ชายหาดเจ้าสำราญ


เดินหาของตามชายหาดได้เพื่อนมากมาย ทั้งเด็กๆ และคนที่เข้ามาคุยด้วยความสนใจเพราะไม่เคยเห็น "คนชรา หาของ"

คนหาของ Treasure Hunting


แหวนที่พบใต้ทรายของชายหาดแห่งหนึ่ง

โลกส่วนตัวของลุงวรรณ
“ลุง หาอะไรครับ”
“หาอะไรคะ ลุง”
เหล่านี้เป็นคำถามที่ “คนหาของ” อย่างเรามักได้ยินประจำ
หาของ?
หาอะไร?
บางคนเรียกตัวเองว่า “นักล่าสมบัติ” บางคนก็เรียกตัวเองด้วยความเจียมตัวว่า “ คนหาของตก”
ไม่ว่าจะเรียกตัวเองว่าอย่างไร เราขอเรียกตัวเองไปพลางๆ ก่อนว่า “นักหาของด้วยเครื่อง”
อาจจะเป็น “Treasure Hunter” หรือ“Detectorist”
เมื่อต้นปีก่อน มีโอกาสรู้จักกับเพื่อนรุ่นน้องคนหนึ่งซึ่งลาออกจากราชการทหารมาทำมาค้าขายอาหารอยู่ที่หาดสวนสน บ้านเพ ระยอง งานอดิเรกยามว่างจากช่วยแฟนขายอาหารของเพื่อนคนนี้ก็คือ “หาของ” ตามชายหาดซึ่งนักท่องเที่ยวที่มาเล่นน้ำในทะเลทำหล่นในน้ำ ด้วยเครื่องมือตรวจหาโลหะที่เรียกทับศัพท์ว่า Metal Detector
เพื่อนคนนี้ สอนเราให้รู้จักและคุ้นกับเครื่อง Detector พอทดลองเล่นดู ก็รู้สึกสนุก และคิดว่าเหมาะสำหรับชายวัย (ชรา) อย่างเรา ตั้งใจไว้ว่าจะหามาใช้สักเครื่องหนึ่ง
หลังจากค้นข้อมูลเกี่ยวกับเครื่อง Detector แบบต่างๆ ที่มีอยู่ในปัจจุบันจากอินเตอร์เน็ตและหนังสืออยู่พักใหญ่ก็ได้เสป็คที่ต้องการและท้ายที่สุดก็ได้ตัดสินใจซื้อเครื่องมือสองมาใช้ในเวลาต่อมา โดยติดต่อซื้อผ่านเอเย่นต์รายหนึ่งที่เป็นตัวแทนจำหน่ายเครื่อง Detector ยี่ห้อ Fisher รุ่น
CZ-20 ซึ่งเป็นฝรั่งชื่อ Keith ราคาไม่แพงมากนักเพราะเป็นเครื่องใช้แล้วและที่จัดว่าเป็นข้อดีของเครื่องรุ่นนี้ก็คือ สามารถเอาลงไปหาในน้ำได้ด้วย ผมอยากได้เจ้าเครื่องที่ว่านี้มาหาของในคลองหน้าบ้านผม ด้วยเหตุที่วัยเด็กผมชอบเล่นน้ำในคลองกับเพื่อนๆ ผมกับเพื่อนๆทำของหล่นไว้มาก ไม่ว่าจะเป็นเหรียญสตางค์(แดง)และเหรียญที่เป็นพระที่ เด็กๆ หลายต่อหลายรุ่นเล่นน้ำคลองแห่งนี้ คิดว่าคงมีของที่ว่ามาหล่นไว้มาก
นอกจากนั้นผมคิดจะหาของที่คนทำหล่นไว้ตามท่าน้ำหน้าวัดแถวบ้านเพื่อหวนย้อนกลับไปสู่อดีตอีกครั้ง
หลังจากศึกษาคู่มือวิธีใช้และเทคนิคในการหาของจนคิดว่าบินเดี่ยวเองได้แล้ว จึงออกตระเวนหาของตามที่ต่างๆ สนุกมากแต่แดดเผาจนเกรียมไปหมดแล้ว
ผมเริ่มหาของตามชายหาดและตามสนามเด็กเล่นเก่าๆ หรือแม้แต่สนามฟุตบอล ก็ได้ของมาสะสมเล่น ตั้งแต่เหรียญต่างๆ ไปจนถึงเหรียญที่เป็นพระเครื่อง ลองดูตัวอย่างสมบัติ(บ้า)ที่เจอที่หาดแห่งหนึ่ง

ลองขุดหาสมบัติตามชายหาดอยู่สักพักจึงเรียนรู้ว่าการ Metal Detecting นี้มีศิลปมากมายที่ต้องเรียนรู้ไปเรื่อยๆ ตลอดจนมรรยาทและจรรยาบรรณที่ต้องคำนึงด้วย

Metal Detecting
Treasure Hunting

Tuesday 27 February 2007

หวนคิดไปในวัยเด็ก

ไม่ได้คิดจะเรียกร้องหรืออยากจะกลับไปอยู่ในวัยเด็กอีกครั้ง แต่จะมีความสุขทุกครั้งเมื่อหวนนึกถึงวัยนั้น ที่เรากับเพื่อนๆเคยใช้คลองหน้าบ้านเป็นสนามเด็กเล่น เราเล่นน้ำกันทั้งวัน เมื่อหิว เราก็ขึ้นมาคดข้าวในครัวกิน และก็กลับลงไปแช่อยู่ในน้ำทั้งวัน จนแม่ต้องคอยถือไม้เรียวมาคอยเรียกให้ขึ้นจากน้ำ เป็นอย่างนี้จนเติบใหญ่
เมื่อตอนนั่งเรือไปโรงเรียน เราชอบชะโงกหน้าไปราละอองน้ำที่สาดกระเซ็นขึ้นมาเป็นฝอย และจะถูกครูดุทุกครั้งที่ทำอย่างนั้น เราชอบมาก แม้ตอนนี้ เมื่อเวลาฝนตกขณะขับรถ เราชอบเปิดหน้าต่างเพื่อให้ละอองฝนกระเซ็นเข้ามาปะทะกับใบหน้า มีความสุขมากและทำให้นึกถึงวัยเด็กครั้งก่อนนั้น

Friday 23 February 2007

Pleasure & Adventure

กำลังอยู่ระหว่างการเขียนเรื่องราวของคนชรา ให้กำลังใจด้วยครับ