Wednesday 21 November 2007

อัมพวา (4)


เย็นวันศุกร์ เสาร์ และอาทิตย์ จะมีนักท่องเที่ยวจากต่างถิ่นมาเที่ยวตลาดน้ำอัมพวาและจอดรถไว้ในบริเวณวัดอัมพวัน ขยะเหล่านี้เป็นร่องรอยของความอัปยศซึ่งเกิดจากความมักง่ายของนักท่องเที่ยวไทย ทั้งๆ ที่เป็นเขตวัดแต่พวกเขาก็ทิ้งกันแบบไม่อาย อีกไม่นานอัมพวาก็คงเหมือนสถานที่ท่องเที่ยวอื่นๆ ในประเทศไทยที่ถูกย่ำยีจนแหลกราญโดยนักท่องเที่ยวที่ไร้จิตสำนึกซึ่งก็ไม่แตกต่างกับนักการเมืองไทยนั่นแหละ

อัมพวา(3)


ตรงที่ผมนั่งอยู่นี้ เมื่อสามสิบปีก่อนเคยเป็นกุฏิหลังเล็กๆ เป็นหอฉันท์ของหลวงพ่อด้วย ตอนกลางวันหลวงเจริญท่านจะมานั่งคุยกับญาติโยมที่นี่ ตอนเย็นท่านเข้าไปจำวัดในพระที่นั่งฯ ตรงนี้จึงกลายเป็นที่พัก ที่นอนของเด็กวัด บัดนี้กุฏิหลังนั้นถูกรื้อออกไปแล้ว กลายเป็นที่ว่างๆ ส่วนต้นจันท์ด้านหลังเป็นต้นเดิม

ตลาดน้ำอัมพวา(2)


พระที่นั่งทรงธรรมซึ่งสมัยที่ผมเป็นเด็กวัดที่วัดอัมพวันแห่งนี้หลวงพ่อเจริญ (พระครูเจติยาภิบาล)เจ้าอาวาสเคยจำพรรษาอยู่ในพระที่นั่งนี้ พวกเราเด็กวัดเรียกตรงนี้ว่า “กุฏิล่าง” ส่วนกุฏิบน(หลังโรงเรียวัดอัมพวัน)นั้นพระครู เฮง(รองเจ้าอาวาส) ดูแล ผมกับเพื่อนพักอยู่กุฏิตรงข้ามพระที่นั่ง

ตลาดน้ำอัมพวา(1)


เมื่ออาทิตย์ก่อน เรากลับบ้านไปทำธุระที่อัมพวา สมุทรสงคราม ได้เห็นความเปลี่ยนแปลงหลายอย่างในละแวกบ้านเรา โฮมสเตย์ผุดขึ้นมากมาย ธุรกิจการท่องเที่ยวเข้ามาในรูปแบบต่างๆ กัน พวกเขาทำธุรกิจอย่างกันอย่างตะกรุมตะกราม ส่วนที่บ้านเราโชคดี ลูกสาวบอกเราหลายครั้งไม่ให้เราทำโฮมสเตย์เพราะกลัวความเป็นส่วนตัวจะหายไปและความอึกทึกเข้ามาแทนที่ นัยว่าเจ้แกอยากอยู่แบบสงบๆ

ขากลับเราลองแวะตลาดน้ำยามเย็นที่ตลาดอัมพวา ทั้งๆ ที่เราไม่เคยเฉียดกรายเข้าไปในตลาดเลยตั้งแต่มีตลาดน้ำตอนเย็นเพราะเราไม่ชอบคนเยอะ ประกอบกับไม่มีความจำเป็นต้องไปตลาดแถวนั้น เพราะไม่ใช่ที่ที่คนสวนแบบเราจะเข้าไปเดินเบียดคนเยอะๆ

สองปีหลังนี้ อัมพวาเปลี่ยนไปมาก นัยว่าเกิดจากการโปรโมทของหลายๆ ฝ่ายเพื่อให้เกิดการท่องเที่ยว อย่างแรก วิถีชีวิตของคนท้องถิ่นเปลี่ยนแปลงไป คนต่างถิ่นเข้าไปค้าขายที่ตลาดน้ำ ซื้อที่ดินริมน้ำ ริมคลองทำธุรกิจโฮมสเตย์ ซึ่งก็ไม่แปลกอะไรที่คนท้องถิ่นจะไม่ได้อะไรมากนักกับการท่องเที่ยว ผมเห็นแล้วเศร้า นักท่องเที่ยวที่หลั่งไหลเข้ามาขาดจิตสำนึก ไม่เข้าใจวิถีชีวิตของผู้คนท้องถิ่น มักง่าย ทิ้งขยะส่งเดช พ่อค้า แม่ค้า คนขายของแหกปากตะโกนร้องเรียกให้ซื้อของตนเหมือนตลาดนัดจตุจักร ดูเหมือนตลาดนัดขายสินค้าทั่วไปมากว่าจะเป็นตลาดน้ำวิถีชีวิตของคนอัมพวา

ตอนที่เราเป็นเด็ก ช่วยแม่พายหัวเรือจากคลองบางลี่เล็กไปขายของที่ตลาดน้ำหน้าวัดอัมพวันเมื่อสามสิบปี แตกต่างจากวันนี้มาก เป็นชีวิตเรียบง่าย เราซื้อของมาขายตามคลอง ผิดกับตลาดอัมพวาอย่างเห็นได้ชัด

รายการโทรทัศน์แห่ประโคมข่าวตามกระแสเพราะกลัวตกข่าว จึงไม่แปลกใจกับข่าวที่คนที่อยู่ริมน้ำตัดต้นลำพูหน้าบ้านตัวเองทิ้งเพราะรำคาญเรือนักท่องเที่ยวแห่ไปดูหิ่งห้อยและรุกล้ำความเป็นส่วนตัวของพวกเขา

Monday 19 November 2007

โรงพยาบาลธรรมศาสตร์ มาตรฐานสากล (2) ผ่าตัดต้อเนื้อที่คลีนิกตา


หมอปิยะดาจะผ่าตัดตาซ้ายของผมในอีกสัปดาห์ต่อมา การผ่าตัดไม่ต้องเตรียมตัวอะไรมาก แค่รอวันนัดเท่านั้น พอถึงวันอังคาร โรงพยาบาลโทรมา บอกว่าให้มาเช้าๆ หน่อยเพราะวันนี้มีคนไข้คนหนึ่งไม่มา โรงพยาบาลเลยเลื่อนเราขึ้นผ่าตัดตอนเช้า เราไม่มีปัญหาอยู่แล้ว ก็ไปตามนัดแต่เช้ากว่าเดิมหน่อย

เราเอาใบนัดไปใส่กล่องแล้วไปหาข้าวเช้ากิน แล้วกลับมานั่งรอเรียก สักพักเจ้าหน้าที่เรียก บอกว่าอย่าไปไหน เดี๋ยวจะมีเจ้าหน้าที่มารับตัว (เข้าห้องผ่าตัดนะ ไม่ใช่ไปพบพญายม) คอยสักพัก ประมาณเก้าโมง ก็มีเจ้าหน้าที่ผู้ชายคนหนึ่งมาตามให้เราขึ้นไปผ่าตัดบนอีกตึกหนึ่ง ก่อนเข้าห้อง พยาบาลบอกว่าให้เอาของมีค่าฝากญาติไว้ อันที่จริงเราไม่มีของมีค่าอะไร เราเอาของเล็กๆ น้อยๆ ฝากเพื่อนไว้ เปลี่ยนเครื่องแต่งตัวเป็นชุดผ่าตัดสีเขียว(แบบที่หมอใส่)ที่ห้องล้อกเกอร์ จากนั้นขึ้นไปนอนบนเตียง รอพยาบาลมาเข็นเข้าห้องผ่าตัด

ระหว่างรอมีเพลงบรรเลงเพราะๆ ให้ฟัง ผมชอบมาก ต้องชมคนเลือกเพลงที่เลือกได้เหมาะเหมง ทำให้คนไข้(อาการไม่ปกติแบบผม)สงบได้อย่างราบคาบ ผมกระดิกเท้ารอเข้าห้องผ่าตัด

รอสักพัก คุณพยาบาลมาเข็นเราเข้าห้องผ่าตัด หมอที่ทำการผ่าตัดเราในวันนั้น ก็คือ พ.ญ.ปิยะดา พูลสวัสดิ์ นั่นเอง หมอบอกว่าไม่ต้องกลัวอะไร ไม่เจ็บ หมอจะหยอดยาชาให้ หมอจัดการปิดหน้าปิดตาอีกข้าง ถ่างตาเราด้วยอะไรจำไม่ได้แล้ว น่าจะเป็นพลาสเตอร์ ขณะผ่าตัดก็ยังเห็นลางๆ แต่ไม่ชัด ไม่รู้สึกเจ็บอะไร ขณะผ่าตัดอหมอก็สอนเรื่องการผ่าตัดไปด้วย เข้าใจว่ากำลังสอนนักเรียนแพทย์หรือแพทย์รุ่นน้อง แต่ผมไม่เห็น หมอใจดีมาก ผ่าไปปลอบคนไข้ไป ทำให้คนไข้ไม่เครียด อันที่จริงผมก็ไม่ได้เครียดอะไรเพราะคิดว่าคงไม่สาหัสสากัณฑ์อะไร แต่ขั้นตอนในการผ่าตัดตานั้นค่อนข้างอ่อนไหว ไม่เหมือนผ่าตัดแขนขาซึ่งเป็นอวัยวะภายนอก การผ่าตัดตามีเรื่องเกี่ยวกับการมองเห็นเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย

ได้ยินหมอพูดถึงเรื่องการเย็บ "เยื่อหุ้มรก" ติดกับตาหลังจากขูดต้อเนื้อออกจากตาไปแล้ว เยื่อหุ้มรกนี้ต้องเอามาจากสภากาชาดไทย แต่ผมยังไม่ทราบว่าเป็นอะไร คิดว่าต้องไปอ่านเกี่ยวกับเรื่องนี้ก่อน

เวลาผ่านไปนานเท่าไรไม่รู้ รู้แต่ว่าไม่นานมากนัก คงจะสักหนึ่งชั่วโมงกระมัง ทุกอย่างก็เสร็จ

พยาบาลเข็นเราออกมาห้องรอ เธอบอกว่าเราจะกลับเลยหรือจะรอให้ญาติไปเอายาจากข้างล่างมาก่อน แล้วค่อยกลับขึ้นมารับเรา เราบอกว่ากลับเลยดีกว่าเพราะยังไม่รู้สึกเจ็บอะไร ตอนเดินไปเอายากับเพื่อนรู้สึกเจ็บนิดๆ เพราะยาชาเริ่มหมดฤทธิ์ เพื่อนพาเรากลับบ้าน ตอนกลับนี่สิ ปวดเอาเรื่องเหมือนกัน แต่ก็ได้ยาแก้ปวดมา ก็บรรเทาได้บ้าง

หมอนัดให้ไปตัดไหมที่เย็บออกในอีกสัปดาห์มา ก็คอยอย่างเดียว หมอให้หยอดตาทุกวัน เราเพียงแต่ทำตามคำแนะนำของหมอทุกอย่างก็ไปได้ดี

เป็นประสบการณ์ในการเข้าโรงพยาบาลครั้งแรกของผม มันดีไปอีกแบบ อาทิตย์หน้าต้องไปตัดไหมออก คงมีเรื่องผจญภัยไปอีกแบบ

ตัดแปลงภาพมาจาก ที่นี่ ดอท คอม