Wednesday, 16 May 2012
Thursday, 10 February 2011
Huon pine
ไม้สน Huon pine (ยูออน) เป็นไม้โตช้า(เฉลี่ยปีละ 0.3–2mm)และเป็นไม้ยืนต้นที่มีอายุยืนที่สุดในโลก ว่ากันว่าบางต้นมีอายุกว่า 3.000 ปีทีเดียว
Huon pine พบได้ในเขตหุบเขา Huon Valley ซึ่งอยู่ทางตะวันตกของทัสเมเนีย (ไม่ไกลจากหมู่บ้าน Strahan มากนัก)
Huon pine เป็นไม้ที่เกิดมาจากซากของรากไม้ Gondwana ซึ่งเป็นไม้ดึกดำบรรพ์ของโลกซึ่งเกิดขึ้นมาเมื่อ 135 ล้านปีก่อน
จากการศึกษาของผู้เชี่ยวชาญพบว่าไม้ที่อยู่ทางฝั่งตะวันตกของทัสเมเนียนั้นยังเกิดจากฐานรากของไม้ที่มีอายุกว่า 10,000 ปี ที่น่าอักศจรรย์ก็คือ ไม้ชนิดนี้แยกตัวผู้ตัวเมีย ไม่ได้รวมอยู่ในต้นเดียวกันเหมือนไม้ยืนต้นอื่นๆ
ภาพจาก Tasmanian Timber
Strahan, Tasmania
Strahan (อ่านว่า “สตรอน” หรือออกเสียงตามสำเนียงของชาวทัสเมเนียนว่า “สโตรน”) เป็นหมู่บ้านเล็ก ๆ อยู่ทางฝั่งตะวันตกของทัสเมเนีย สวยมากๆ
เดิมที Strahan เป็นหมู่บ้านที่พวกคนตัดไม้สนยูออน (Huon pine)ซึ่งเป็นไม้สนชั้นดี ใช้เป็นที่พักพิง หมู่บ้านแห่งนี้กลายเป็นเมืองท่าที่ชาวเหมืองทองแดงใช้รถไฟขนส่งมาลงเรือที่นี่ ทิวทัศน์ของป่าละแวกนี้สวยงามมาก แม่น้ำกอร์ดอนซึ่งไหลผ่านป่าฝนที่เป็นมรดกโลกของทัสเมเนียก็ไหลมาลงทะเลที่นี่ด้วย เมืองนี้ยังได้รับการลงคะแนนจาก Chicago Tribune ให้เป็นเมืองเล็กที่สวยที่สุดในโลก
ภาพจาก Tasmania
Wednesday, 2 June 2010
Monday, 25 January 2010
Tuesday, 25 August 2009
Royal Tasmanian Botanical Gardens
นักท่องเที่ยวไทยเรายังไม่ค่อยนิยมไปเดินชมสวนสาธารณะในต่างประเทศมากนัก หากเทียบกับคนต่างประเทศอย่างออสเตรเลียหรือแม้แต่ประเทศเล็กๆอย่างไต้หวันที่นั่นเขาสร้างสวนสาธารณะไว้มากมาย
นิสัยการเดินชมสวนสวยของเรานั้นหากเทียบกับคนยุโรปแล้ว เรายังห่างไกลเขามาก ประกอบกับสวนสาธาณะในบ้านเรานั้นยังน้อยอยู่ เมื่อเทียบกับจำนวนพลเมืองและพื้นที่
หากไปเที่ยวโฮบาร์ตแล้วก็ขอแนะนำให้ไปเดินเที่ยว Royal Tasmanian Botanical Gardens เพราะเป็นสวนเก่าแก่และจัดได้สวยมาก
สวนพฤกษชาติของโฮบาร์ตนี้ เดินไม่ไกลมาก อยู่ห่างจากในเมืองไปทางเหนือประมาณสองกิโลเมตร มีทางเดินตัดไปได้ไม่ต้องเดินไปตามทางหลัก สวนแห่งนี้ก่อสร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ.๒๓๖๑ หรือเกือบสองร้อยปีมาแล้ว สวนแห่งนี้เก่าแก่เป็นอันดับสองของออสเตรเลีย สร้างขึ้นหลังสวนพฤกษชาติซิดนีย์เพียงสองปีเท่านั้น สวนทั้งสองแห่งที่ว่านี้นับเป็นสวนพักผ่อนหย่อนใจที่สวยที่สุดของออสเตรเลีย และสวนแห่งนี้ยังเป็นสวนที่เพาะพันธุ์ไม้เขตขั้วโลกใต้ต่างๆ ให้ดำรงพันธุ์อยู่ต่อไป
ภาพจาก Garden Tour
Posted by ลุง วรรณ at 11:34
Thursday, 13 August 2009
International Wall of Friendship
International Wall of Friendshipอยู่ที่ศูนย์ที่ทำการคอมมอนเวลธ์ สร้างขึ้นเพื่อระลึกถึงผู้ที่อพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานในทัสเมเนีย ตั้งอยู่ที่ 188 Collins Street
ภาพจาก Appleisle Cottages
Tasman Bridge
สะพานทัสมัน
เป็นสะพานทอดยาวข้ามแม่น้ำทางเหนือของเมือง มีความยาวกว่าหนึ่งกิโลเมตร เคยเกิดหายนะครั้งใหญ่ขึ้น เมื่อวันที่ ๕ มกราคม ๒๕๑๘ เวลา ประมาณทุ่มครึ่ง เรือบรรทุกแร่ที่ชื่อ Lake Illawarra เปะเข้ากับต้อม่อสะพานข้างหนึ่ง ทำให้สะพานส่วนหนึ่งยาว ๑๒๗ เมตรพังครืนลงมา มีรถยนต์ตามลงมาด้วย ๔ คัน มีผู้โดยสารที่อยู่ในรถเหล่านั้นเสียชีวิตไป ๕ คน และลูกเรือเ Lake Illawarra เสียชีวิตไปอีก ๗ คน รถยนต์สองคันหล่นไปติดอยู่ในซอกสะพาน แต่ผู้ขับขี่สามารถหนีออกมาได้
ภาพจาก webshot travel
Female Factory
Female Factory
นักโทษสตรีที่ถูกขนมาจากอังกฤษเข้ามายังเกาะทัสเมเนียถูกนำมารวมกันไว้ที่นี่ตั้งแต่ช่วงปีพ.ศ.๒๓๗๑ ว่ากันว่าในช่วงนั้น มีนักโทษแออัดกันอยู่ในสถานที่แห่งนี้ถึง ๑,๐๐๐ คน
ภาพจาก Worldisround
Salamanca Place
ซาลามังก้า เพลส
อาคารแถวแห่งนี้ประกอบไปด้วยแถวอาคารที่เคยใช้เป็นโกดังเมื่อ พ.ศ. ๒๓๗๓ สร้างด้วยหินทรายแบบจอร์เจี้ยน ปัจจุบันย่านนี้กลายเป็นร้านรวงต่างๆ เช่น ร้านกาแฟ แกลเลอรี่ และภัตราคารต่างๆ วันอาทิตย์มีตลาดนัดซึ่งตลาดนักที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็นมาในทัสมาเนีย ผมชอบเดินไปดูของเก่า ราคราถูกมาก ผมชอบสะสมกล่องขนมปังกรอบ หาซื้อได้จากตลาดแห่งนี้
ภาพจาก Australia Tourist Guide
Parliament House
อาคารรัฐสภา
อาคารรัฐสภาหลังนี้ติดกับตลาดซาลามังก้า อาคารรัฐสภาหลังนี้ออกแบบโดยนายจอห์น ลี อาเชอร์ (John Lee Archer) สถาปนิกซึ่งเป็นผู้ต้องขังชื่อดัง เดิมทีอาคารหลังนี้ใช้เป็นสำนักงานศุลกากร ก่อสร้างโดยนักโทษที่ขนมาจากอังฏฤษ ตั้งแต่พ.ศ. ๒๓๗๘ ถึง พ.ศ. ๒๓๘๓
พอมาถึงพ.ศ. ๒๓๙๙ เมื่อมีรัฐบาลท้องถิ่น ผู้บริหารทัสมาเนียก็เข้ามาใช้เป็นอาคารรัฐสภา มีพิพิธภัณฑ์อยู่ชั้นล่างและสนามหน้าอาคารซึ่งสวยงามมาก
ภาพจาก plan book travel
Anglesea Barracks
Anglesea Barracks เป็นกองบัญชาการทหารที่เก่าแก่ที่สุดในออสเตรเลีย กองบัญชาการแห่งนี้ก่อตั้งขึ้นเมื่อพ.ศ. ๒๓๕๔ ปัจจุบันยังใช้เป็นฐานทหารอยู่
ภาพจาก Appleisle Cottage
Wednesday, 12 August 2009
Battery Point
หากเราจะออกเที่ยวที่โฮบาร์ตนั้นต้องถามใจตัวเองว่าอยากดูจะอะไร บางคนบอกว่า “ดูอะไรก็ได้” ก็อย่างว่าดูไปเรื่อยเปื่ยโดยที่ไม่ทราบว่าชอบอะไรนั้นก็ลำบาก ไม่มีจุดหมาย เที่ยวไม่สนุกนัก
ลองเริ่มที่ว่าจะดูอาคารสถานที่โบราณ ดูพิพิธภัณฑ์ หรือจะดูสถานที่ให้ความเพลิดเพลินสนุกๆ จะดูสวนพฤกษศาสตร์ หรือจะไปดูสัตว์ป่า เดินป่าอะไรเทือกนั้น เมื่อตัดสินใจได้แล้วก็ลองเลือกโปรแกรมสำหรับตนเองและคณะดู
ลองอย่างแรกก่อนละกัน ไปดูสถานที่และอาคารทางประวัติศาสตร์ของโฮบาร์ตกันก่อน
เริ่มกันที่ Battery Point ก่อน
Battery Point เป็นบริเวณที่ชาวอังกฤษขึ้นจากเรือมาตั้งถิ่นฐานเป้นที่แรกๆ บริเวณนี้มีอาคารแบบยุคอาณานิคมอยู่หลายหลัง ปัจจุบันอาคารเหล่านี้ส่วนใหญ่ใช้เป็นภัตราคารบ้าง ใช้เป็นที่พักและโรงแรมบ้าง
ภาพจาก Yahoo Travel
backpackers ที่พักราคาถูก
ที่พักราคาถูกในทัสมาเนียนั้นหาไม่ยาก เราอาจพักที่ YHA ในโฮบาร์ตก็ได้หรือจะพัก backpackers ก็มีอยู่มากมาย
Backpackers เป็นที่พักราคาถูกสำหรับนักเดินทาง เป็นที่พักสำหรับนักท่องเที่ยวที่ชอบแบกเป้ไปโน่นมานี่ตามใจชอบ ไม่ใช่ Tourists ที่ชอบพักโรงแรมแบบหรูๆ นะครับ ที่พักราคาถูกอาจจะใช้ชื่อต่างกัน เช่น Hostels หรือ Guesthouse หรืออะไรก็ตามแต่ แต่ในที่นี้ขอพูดว่าเป็นที่พักราคาย่อมเยา คนอย่างเราๆ พอจ่ายได้ จะไม่พูดถึงโรงแรมหรู ราคาแพงแบบที่นักการเมืองใช้เงินหลวงไปพักนะครับ อันนั้นใครๆ ก็ทำได้ แต่ที่พักแบบเราๆ น่ะ ทำไม่ได้ทุกคน
ที่พักราคาถูกในโฮบาร์ตนั้นหาไม่ยาก เปิดอินเตอร์เน็ตดูก็สามารถจองได้ หรือโทรไปหาที่พักเมื่อถึงสนามบินแล้ว
YHA (Youth Hostel Australia) ในทัสเมเนียมีอยู่ทั่ว มีที่ โฮบาร์ต ที่ บิชิโน (Bicheno) สโตรน(Strahan)
ที่เดว่อนพอร์ต (Devonport) ที่ St. Helens ที่ Bridport และที่ Cradle mountain
ลองเปิดอินเตอร์เน็ต หาข้อมูลที่พักดูนะครับ
ภาพจาก Transit centre backpackers
Posted by ลุง วรรณ at 11:05
Labels: backpackers, Tasmania
โฮบาร์ต Hobart
โฮบาร์ตเป็นเมืองหลวงของรัฐทัสเมเนียและจัดว่าเป็นเมืองที่มีพลเมืองหนาแน่นที่สุดของรัฐนี้ โฮบาร์ตก่อตั้งขึ้นเมื่อ พ.ศ. ๒๓๔๖ และว่ากันว่าเป็นเมืองที่เก่าแก่ที่สุดเป็นอันดับสองของออสเตรเลียรองมาจากนครซิดนีย์
เมืองนี้มีพลเมืองประมาณ ๒๐๘,๒๘๗ คน (จากสถิติปี พ.ศ. ๒๕๕๑) โฮบาร์ตนับเป็นศูนย์กลางทางการเงินการบริหารของทัสเมเนียและเป็นศูนย์กลางทางการเดินเรือของออสเตรเลียและภูมิภาคแอนตาร์กติกด้วย
เมืองหลวงแห่งนี้ตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของรัฐ อยู่ปากแม่น้ำเดอร์เว้นต์ มีภูเขา Mount Wellington ซึ่งมีความสูงถึง ๑,๒๗๑ เมตรเป็นฉากหลังที่สวยงามมาก ผมเคยขึ้นไปยอดเขาแห่งนี้ ลมแรง และอากาศหนาวมาก
ภาพจาก Backpackers guide to Australia
สนามบินของทัสเมเนีย (Tasmanian Airports)
สนามบินของทัสเมเนียมีสองแห่ง คือที่ สนามบินนานาชาติโฮบาร์ต(Hobart International Airport)และสนามบิน ลอนเชสตัน (Launceston Airport)
ส่วนใหญ่นักท่องเที่ยวนิยมบินไปลงสนามบินนานาชาติโฮบาร์ตซึ่งเป็นเมืองหลวงอยู่ทางใต้ของเกาะและเดินทางท่องเที่ยวโดยรถยนต์ไปลอนเชสตันที่อยู่ทางเหนือของรัฐ แต่ที่ผมไปนั้น ผมไปลงที่สนามบินลอนเชสตันโดยตรง ผู้โดยสารสามารถเลือกได้ว่าจะไปลงที่ไหนก่อน
สนามบินนานาชาติโฮบาร์ต (Hobart International Airport)เป็นสนามบินมาตรฐานที่สามารถให้บริการทั้งสายการบินภายในและนานาชาติ สายการบินที่มาลงได้แก่ Qantas, Virgin Blue, JetStar, Tiger Airways และ Tasair หากต้องการจะใช้บริการสายการบินเหล่านี้ให้ตรวจสอบตารางการบินให้แน่ชัดก่อนจอง
สนามแห่งนี้คุยว่าเป็นสนามบินที่ทันสมัยระดับโลก ซึ่งเป็นความภูมิใจอย่างหนึ่งชาวชาวทัสเมเนียและเป็นสนามบินที่มีระบบตรวจสอบสัมภาระที่ดีที่สุด (ไม่ต้องต้องกลัวหายบ่อยๆ เหมือนบางประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้......อันนี้ผมพูดเอง)
หากสนใจ สามารถตรวจสอบเวลาเครื่องบินเข้าออกได้ที่เว็บไซต์ของแต่ละสนามบิน
ภาพจาก Hobart International Airport
สายการบินที่บินข้ามไปทัสเมเนีย
มีสายการบินบินไปทัสเมเนียหลายสายให้เลือกบินได้ตามสะดวก
สายแรกที่จะกล่าวถึง Jetstar สายการบินนี้เป็นสายการบินราคาถูกของออสเตรเลีย มีบินทั้งภายในและต่างประเทศ บินไปทั่วออสเตรเลียวันละหลายๆ เที่ยว บินมาเมืองไทยก็เยอะ
สายต่อมาที่ขอแนะนำคือ Virgin Blue
สายการบินนี้ก็เป็นสายการบินราคาถูกของออสเตรเลียอีกสาย บินทั้งภายในและต่างประเทศเช่นกัน
สายการบินเก่าแก่ของออสเตรเลียอีกสายหนึ่งได้แก่ Qantaslink
Qantaslink เป็นสายการบินที่ใหญ่ที่สุดในออสเตรเลียและภาคพื้น มีเที่ยวบินหลายหลายในออสเตรเลีย บินทั่วประเทศมากกว่า ๕๕ เมือง มีเครื่องบินมากที่สุด ซื้อตั๋วที่สนามบินหรือจองจากกรุงเทพก็ได้
สายการบินอิสระอีกสาย คือ Regional Express (Rex) เป็นสายการบินอิสระที่ใหญ่ที่สุดของออสเตรเลีย มีบินออกจากเมืองใหญ่ๆ เช่น Sydney, Melbourne, Adelaide และ Brisbane ไปยังที่หมายต่างๆมีบริการคนพิการด้วย
Tiger Airways เป็นอีกสายการบินราคาอีกสายหนึ่งที่จะแนะนำ สายการบินนี้บินทั้งภายในและต่างประเทศ
ภาพจาก Totaltravel.com
Wednesday, 5 August 2009
ทัสเมเนีย เกาะที่คนไทยยัง(ค่อย)ไม่รู้จัก
แม้เกาะทัสเมเนีย ยังไม่เป็นที่นิยมสำหรับนักท่องเที่ยวชาวไทยมากนัก แต่สำหรับชาวยุโรปแล้ว ส่วนใหญ่รู้จักกันดีว่าเป็นเกาะที่สวยงามมาก มีป่าฝนที่ได้รับการยกเป็นมรดกโลก มีหาดทรายเงียบสงบและภูเขาสูงที่งดงามมากมาย มีทัศนียภาพตระการตาตามลักษณะพื้นที่เกาะขนาดใหญ่ (พื้นที่ ๖๘.๔๐๑ ตร.กม)
เกาะทัสเมเนียนี้เป็นรัฐหนึ่งของออสเตรเลีย อยู่ข้างใต้รัฐวิคโทเรียสองร้อยกว่ากิโลเมตร (๒๔๐ กม.) มีพลเมืองประมาณ ๕๐๐.๐๐๐ คน(สถิติเดือนธันวาคม ๒๕๕๑)
หากจะไปเยี่มชมรัฐที่เป็นเกาะแห่งนี้อาจไปได้สองทาง
ทางแรก คือเดินทางโดยเครื่องบินภายในจากเมลเบิร์นและซิดนีย์หรือจากที่อื่นๆ ของออสเตรเลีย
อีกทางหนึ่งโดยทางเรือ Spirit Of Tasmania ที่ออกจากพอร์ต เมลเบิร์น(Port Melbourne)ของวิคโทเรียทุกวัน ออกเดินทางหกโมงเย็นถึงท่าเรือ Davon Port ของทัสเมเนียแปดโมงเช้า
ภาพจาก Tasmania Convention Bureau
Posted by ลุง วรรณ at 11:01
Labels: ทัสเมเนีย ออสเตรเลีย
Wednesday, 4 February 2009
Martin's Travelling (4)
After arriving in Pinxiang, twenty minutes later, the driver gave me a wry smile when I told him again that I needed to find an ATM before I could pay him. To his credit, he took it lightheartedly, and drove me 30m down the road to a bank. I trusted him with my main backpack, which he wanted as insurance in case I would run away without paying (not that I would have been able to outrun him with an extra 10kg). It was a big relief when the ATM spat out the cash, because, having cancelled my main Nationwide debit card in Hanoi, my Nationwide credit card was the only key I had left to access my money.
Pinxiang was my first destination in China and, despite being there for only half an hour, it was long enough to get some strong first impressions of the country that was to be home for the next few weeks. The first thing that struck me was the vast difference in cleanliness between China and Vietnam. Compared to that of Malaysia, Thailand, Cambodia and Vietnam, the level of cleanliness was considerably higher. In China I saw rubbish bins on the streets for the first time since leaving Kuala Lumpur. There were no heaps of rubbish on the pavements, or bin bags full of rubbish on the streets. I have seen no street rats in China, something I saw quite a lot in SE Asia. Littering is frowned upon, whereas in the SE Asian countries I visited, bar Singapore (which was quite the opposite), littering was seen as the most efficient way of disposing of waste. It would then either get eaten by an animal, be washed away by rain, or be swept up by litter pickers.
Posted by ลุง วรรณ at 13:04
Tuesday, 27 January 2009
Martin's Travelling 3
Over the border I crossed, without any problems as I mentioned earlier. I was, for the second time in two months, without any money, and having no means of getting any. I was glad that the Chinese officials didn't ask me any questions about my financial situation, as this may well have caused some problems.
As I walked into China a mini bus driver approached me and offered me a lift to Pinxiang, the nearest town, about twenty minute's drive away. He offered to take me for thirty yuan, about 2.5 pounds. Having no money on me, I felt in no position to bargain. I tried to tell him that I needed to find an ATM first, but, judging from his reaction when we arrived, he clearly hadn't understood me. As we walked to his mini bus I was surrounded by taxi drivers and mini bus drivers, all after my business. In hindsight I shouldn't have agreed on a deal so early, as all that competition would have knocked at least 10 yuan off the price. Someone even offered to take me for three yuan! I guessed he was joking, but maybe it would have been worth checking.
Posted by ลุง วรรณ at 21:41
Saturday, 24 January 2009
Martin's Travelling 2
After what couldn't have been more than five minutes he dropped me off at some noodle eatery. I got off, confused. I asked him where the border was and why he hadn't taken me there as agreed. With sign language and a few words of English, he claimed that he thought I wanted to go somewhere for food. As I judged things, there was a very high chance that he was lying to get more money. I gave him five of the seven dong I had, to give him the benefit of what little doubt there was left. I was still in the town, and I estimated about 2km from the border, so off I trudged to look for someone I could trust and who would be able to understand me. I soon found a hotel and they pointed me in the right direction of the mountainous border crossing.
Soon after I left the hotel another motorbike taxi driver approached me. I told him I only had 2k dong left, and, after a some hesitation, he motioned that I should jump on. I could hardly believe that he would take me for such a price. Two thousand dong is worth only 7p! And petrol isn't cheap in Vietnam, as was the case everywhere in SE Asia. I reasoned that the offer must have been out of kindness, but I later found out that he didn't believe me about the money, and that he thought I had more on me. When we arrived at the border he showed me that he wanted 10k dong, and he was really quite insistent about it. When I told him again that I didn't have any more money on me - using body language and the 2k dong note as a visual clue - he got angry. I half-jokingly offered him my last two bananas too, but he didn't want any of it. In the end I just left the note in the basket on his motorbike and walked off. In a way I felt bad about it, but glad that I had made it clear to him in the first place.
Posted by ลุง วรรณ at 21:18
Wednesday, 21 January 2009
Martin's Travelling 1
A bagpacker friend, Martin Bristow, traveling abroad sent me his diary letter. It’s a fantastic one. It should be shared on the blog. He’s now traveling in Asia.
Dear all,
After five days in Hanoi I decided to move on. I was strong again after my fever and China was beckoning. After the trouble at the Chinese embassies in Sydney, Wellington and Kuala Lumpur, I was half expecting something to go wrong at the border. Fortunately everything went smoothly.
The night before I left Hanoi I checked my wallet and saw that I had just enough money for some breakfast the following morning and the train ticket to the border. Actually, I didn't cross the border into China with a single dong. The train took me to Dong Dang, a town three kilometres from the Vietnam/China border. I had 10k dong left, about 35p. I was a little hungry at that point, having only eaten a few items from a bakery before I left Hanoi. Also, I hadn't eaten much over the previous few days due to my fever, so I was generally trying to catch up. I found a small local shop and bought some bananas for 3k dong. I then offered a motorbike taxi driver the rest of my money to get to the border. He laughed when I said I only had 7k on me, and initially refused to take me for such pitiful pay. However, as I started to walk off he called me back, as is often the case with offering money for a service/product. So I jumped onto the bike with my big backpack on my back and my little backpack on my front, and off we sped.
Posted by ลุง วรรณ at 11:04
Wednesday, 11 June 2008
A WINDOW ON THE ARAB WORLD (14)
The clock cannot be turned back– which is what the Islamic fundamentalists are trying to do. The discovery of oil in the Arab world has unleashed the forces of change and modernization, and these processes will continue.They are unstoppable and inevitable.Oman will continue to develop – the oil revenue will see to that... Sleepy Fanja now has a six-lane highway going past it , a whole mountain torn down to construct it.Bin Laden and his followers wish to take the Muslim world back to a mythical distant past , the Caliphate of the seventh century A.D. , ‘ the good old days’ ,when life was simpler,purer and less complicated than today. It is totally unrealistic, and is not going to happen... If the Arabs can be persuaded to view the future with confidence, with the assurance that their values and their identity are not in danger, they will not embrace fundamentalist doctrines which have no relevance in the modern world. It is our job to persuade them that they have nothing to fear from the forces of progress and modernization, that this is the only way forward
And, finally, we must solve the Palestinian problem. It is an utter contradiction for the Israelis to demand their right to a homeland, and then to deny that right to the Palestinians.The West claims that it believes in democracy and human rights, yet only goes through the motions of protecting the Palestinians. This issue is the catalyst of so much hatred in the Arab world. If the West were able to solve this problem amicably, a great deal of the bile and venom towards us would disappear.
Samuel Huntingdon and others have written about an inevitable ‘clash of civilisations’ between the Islamic world and the West .This is nonsense. As my experience proved, Arabs and Westerners can work very harmoniously together, as long as both parties feel they are pursuing mutually beneficial objectives.
ภาพจาก Destination Oman
เว็บอื่นที่น่าสนใจเกี่ยวกับโอมาน Oman Holidays BLOG
Notice: A British mate of mine, Robert Butterfield, sent me his journey story to publish on the blog. His experiences inside the kingdom and abroad would be shared regularly. I’d like to thank Bob for the fantastic writing.
โรเบิร์ต บัตเตอร์ฟิลด์ เพื่อนชาวอังกฤษส่งบทความการเดินทางท่องเที่ยวในประเทศไทยและต่างประเทศมาให้นำลงเพื่อให้เพื่อนๆ ได้อ่านกัน ขอขอบคุณบ้อบที่ตั้งใจเขียนบันทึกการเดินทางมาฝากเพื่อนๆ และจะทยอยนำลงให้อ่านกันอีกครับ
Posted by ลุง วรรณ at 08:11
Labels: A WINDOW ON THE ARAB WORLD
A WINDOW ON THE ARAB WORLD (13)
Iraq is a classic example of how not to promote change in the Arab world.Arabs, rather like the rest of us, will change their ways when they feel that it will benefit them to do so. Like us,they welcome modern conveniences and appliances that make life easier yet also wish to preserve what is best in their societies.Like us ,they have a strong sense of identity,which they wish to retain, and a fear of losing the best of their traditions. They are not that different from us. We should have a sympathetic understanding of their fears and anxieties and seek to allay them.We should not attempt to thrust our culture, especially its more tawdry aspects, in their faces, as is being done at present.We should appreciate the positive values of their culture .We have much to learn from their community values, and how they look after each other .Our society is far from perfect and we too have difficulties in adapting to change. We should be patient with the people of traditional, conservative societies and realize that we have much in common. Above all, we should cease to think that our ways are always superior to theirs, and stop behaving in a patronizing way.
ภาพจาก Destination Oman
Posted by ลุง วรรณ at 08:06
Labels: A WINDOW ON THE ARAB WORLD
A WINDOW ON THE ARAB WORLD (12)
There is also Israel. Israel, despite being a wealthy country, is the number one beneficiary of U.S. foreign aid.There is a powerful Jewish lobby, very active in Washington, which consistently influences U.S. foreign policy in favour of Israel.Thus the U.S. is seen as a sponsor of the repressive tactics meted out by the Israelis on the Arabs. “America props up and arms Israel,” said Nassir to me, “and without American aid, Israel would collapse tomorrow.” Unlikely, but this remark illustrates the power of America and the fact she has neglected to find a lasting solution to the Palestinian problem. This problem has been allowed to fester and has fanned the flames of Arab anger.
Countries like Oman are changing at bewildering speed.Changes which took place over centuries in other countries have occurred in two generations in Oman.It took the British two hundred and fifty years to change from a largely agricultural society to an industrial one.There was a great deal of social conflict along the way.Developing societies are being asked to cope with a pace of change much faster than this.Omanis have shown amazing resilience and adaptability to cope with the changes so far.The IT Revolution is forcing yet more change upon them ,the pace of development is accelerating. Even we have problems adapting.How much greater are the problems of adaptation for people from traditional societies!
The West must not impose its social and political ideas on people, but, instead, allow them to change and adapt in their own good time.Arabs must feel that they have control over the process of change.The current British and American attempt to install parliamentary government in Iraq is a case in point.It looks like neo-colonialism, the return of the white man. To paraphrase George Bush, “We’re the richest country in the world because we have the best form of government –democracy- and we’re going to give it to you whether you like it or not.”The arrogance is breath-taking. Perhaps Arab countries will evolve more representative forms of government in the future. But it will come when a majority of the people want and feel the need for them.
ภาพจาก Destination Oman
Posted by ลุง วรรณ at 07:48
Labels: A WINDOW ON THE ARAB WORLD
Tuesday, 10 June 2008
A WINDOW ON THE ARAB WORLD (11)
I left Oman on September 8th 2001, just three days before the destruction of the World Trade Center. That act was committed, I believe, by desperate men who came from traditional, socially conservative societies similar to Oman. They felt that their societies and their whole way of life were under mortal threat from the forces of modernity and development, usually referred to as globalization. The main source of this they identified as the United States. They regarded Western ideas and customs as enormous dangers, like huge tidal waves threatening to engulf them and their societies. The Arabs may have willingly embraced Western weaponry, technology and gadgetry, but they are afraid of Western concepts and ideas, such as parliamentary democracy, female emancipation, pop culture, sexual liberation and our secular values. I totally condemn the actions of the 9/11 terrorists, yet at the same time, I understand the motives that drove them to commit those terrible acts.
For the Arab man in the street,globalization can seem like one-way traffic.The mass media and the internet controlled by Western corporations,impose Western cultural values on you,whether you like it or not. American culture is very much‘in your face’ – it is frequently trashy and tawdry but is imposed on you willy-nilly.You do not have to be an Arab to feel this. The Frenchman who destroyed a Mac Donald’s with a bulldozer felt exactly the same way. The local cinemas in England where I live seem to show only American action films .There is no real choice. If you fancy a night at the cinema, it‘s Bruce Willis, Sylvester Stallone or nothing. You rarely see British films. This can look like cultural imperialism, total cultural dominance - I ‘m sure Bin Laden would agree.
ภาพจาก Destination Oman
Posted by ลุง วรรณ at 19:57
Labels: A WINDOW ON THE ARAB WORLD
Friday, 6 June 2008
A WINDOW ON THE ARAB WORLD (10)
Modernisation and development are happening at break-neck speed in Oman. In 1960, the country did not have electricity, proper roads, cars, television or any of the
gadgets of modern living.Then, with the discovery of oil, and later natural gas, things started to move.The current Sultan came to the throne after ousting his own father.
The old man had tried to stop all modernization, but with British military help, was swept aside. Oman was then set on a course of development which it has followed ever since. Modern hospitals appeared and the average life expectancy rose by fifteen years. A new road system now covers the country. New buildings shot up everywhere. Omanis exchanged their donkeys for fast Japanese and American cars. Changes which took place over centuries in other countries were accomplished in a few decades in Oman.The whole process of change was telescoped. The country was a fascinating mixture of the old and the new - a gleaming Mercedes would pass someone driving a donkey cart on the street. A brand-new BMW would be washed from water drawn from the centuries-old falaj water system, which derived its water from mountain streams.
Nasir explained to me that everyone in Oman was pleased with the material well being that the oil had brought. Life was much easier now with mod cons such as washing machines and refrigerators. Mobile telephones made communication easier. Cars and good roads meant people could get around more easily .Free universal health care was a tremendous boon – the average life expectancy had risen by fifteen years. Everything was easier and more convenient than in the old days.Nobody wanted to go back to those. However, he was much more wary when discussing social values.He liked the God-fearing, communal, traditional nature of Omani society and wanted it preserved. Women should continue performing their traditional role as well , and should know their place.Education was good but Omani life should not lose that sense of innocence , the strength of family and community ties that characterized it.He was proud,he said of ‘the positive values’ of Omani society which had to be cherished.We should be aware ,he said,of the negative aspects of progress and Western influence.To many Arabs,the West can appear godless, uncaring and materialistic .
ภาพจาก Bugbog
Posted by ลุง วรรณ at 07:52
Labels: A WINDOW ON THE ARAB WORLD
Thursday, 5 June 2008
A WINDOW ON THE ARAB WORLD (9)
Sometimes we would go to the small town cinema. Action movies starring Schwarzenegger, Stallone or Bruce Willis were the usual fare. James Bond was a particular favourite.Many of my students were absolutely convinced that James Bond’s lifestyle typified that of the average Englishman such as myself.Their naivety was incredible.When I said that it was a shame that people did not watch Arabic films, Nasir vehemently disagreed. Action movies were much more entertaining, he said. When we had dinner in a cheap Indian restaurant ,nicknamed ‘a greasy spoon’, the television showed WWF American wrestling.I found this a ridiculous circus act and so did Nasir ,but it was popular enough among ordinary people for Omani television to continue featuring it.American ‘junk food ’ outlets were making their mark too. In 1985, MacDonald’s, Wendy’s, Pizza Hut and KFC were well established in the capital area. By the nineties, they were expanding inland. Young Arabs liked the glitz and the glamour –the ‘greasy spoons’ simply could not compete.
On satellite TV , beamed in from America , there was a special show called ‘The Las Vegas Grind’ .It was the highlight of Friday evening in Oman.It featured scantily –clad and large-bosomed white girls dancing to disco music with men (mainly black) round a hotel swimming pool. I found it rather corny and unsophisticated, but for Omanis it was all very naughty and lascivious. The Arab world is extremely prudish in matters of dress and frowns upon activities like dancing. This TV material was for Omanis, the forbidden fruit. These programmes were very popular with young Omani males.In common with young men everywhere , they like looking at well-endowed , scantily clad girls dancing .However ,their culture and religion tell them that all this is wrong and sinful,the work of the devil. They are being pulled in two directions at once.
ภาพจาก lonely planet
Posted by ลุง วรรณ at 18:49
Labels: A WINDOW ON THE ARAB WORLD
A WINDOW ON THE ARAB WORLD (8)
Luxury shopping malls, based on the American pattern, sprouted up everywhere. They all seemed to follow the same pattern, selling expensive French perfumes, Italian clothes, and fancy watches. Youngsters would go there, not to buy but to gawk at the luxuries and to meet friends. I remember an elderly Bedouin woman examining a Braun hair-dryer imported from Germany... A woman who had always dried her hair with a piece of cloth was being induced to buy a fancy, foreign gadget. It was the advent of consumerism in the country as people were being seduced into buying expensive, imported consumer goods.Omanis took to computers and mobile phones like ducks to water.In addition, they began to travel abroad. Many military men did courses in Britain and students went to British universities. Many went to the Far East, notably Thailand for their holidays.They imbibed new ideas, observed different lifestyles and saw different political systems.
About this time too, I started visiting Fanja and Nasir Mansour.Nasir was a young fellow of twenty-eight who taught English in a local school. He lived in Fanja, a small and unremarkable town which nestled at the foot of a small mountain. His English was fluent and we became fast friends. Over the next eleven years, I used visit him on average once a week. I got to know his family and friends and developed a great affection for this small town and its people. We discussed ideas, the changes that were overtaking Oman and local people’s opinions of them.
ภาพจาก Ministry of Information Sultanate of Oman
Posted by ลุง วรรณ at 11:15
Labels: A WINDOW ON THE ARAB WORLD
Tuesday, 3 June 2008
A WINDOW ON THE ARAB WORLD (7)
Only Palestine mattered.Omani TV, in common with the other Arab networks, showed night after night the harsh treatment meted out on Palestinians by the Israeli army.They showed families being evicted from their houses at gunpoint, then showed these houses being demolished. Palestinian children throwing stones were fired on by Israeli soldiers and Palestinian women were constantly harassed.It was certainly one-sided.However,one began to understand the visceral hatred that exists between Arab and Jew , as well as the strong bonds of kinship that exist among all Arabs , enabling them to identify totally with the plight of the Palestinians.
As we entered the nineties, it all began to change.In 1991, Iraq invaded Kuwait and British and American soldiers were out on the streets of Oman.The country was a forward base for the liberation of Kuwait , and was in the world spotlight. There was a tense atmosphere as war approached. Speculation was rife as to whether Oman would be invaded too.We learned that nurses in the nearby hospital were doing courses on treating the victims of chemical warfare. Oman’s rulers were pro-Western, and sent soldiers to fight Iraq, but this certainly did not apply to everybody.Many secretly admired Saddam for having the guts to defy the West,and said it was wrong for Muslims to fight fellow Muslims.Then came the internet and satellite television.Suddenly, it seemed Oman was connected to the outside world. Omanis watched CNN or the BBC and were exposed for the first time to highly sophisticated news channels.The government agency OMANTEL attempted to censor material, but could not exert total control. A lot got through.
ภาพ Al Nakhal Fort, with Hajar Mountains in background
ถ่ายโดย Chris Mellor
ภาพจาก Lonely Planet
Posted by ลุง วรรณ at 20:30
Labels: A WINDOW ON THE ARAB WORLD